 |
เปิดดีล"ผลประโยชน์" "ทักษิณ-เพื่อนบ้าน" มติชน..วันนี้
|
|
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อ้างเหตุผลที่ตอบรับเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า เป็นการช่วยเหลือประเทศไทยอีกทางหนึ่ง เพราะเมื่อชาวกัมพูชาร่ำรวยขึ้นจะซื้อสินค้าไทยมากขึ้น วิน-วินทั้งไทยและกัมพูชา
แต่ด้วยวิธีคิดแบบ "นักธุรกิจ" ที่มักมองประเทศ "เพื่อนบ้าน" เป็น "คู่ค้า" รวมถึงความเคลื่อนไหวของบริษัทของตระกูลชินวัตร ตลอดช่วง 6 ปีที่รัฐบาลไทยรักไทยบริหารประเทศ หลายเหตุการณ์ทำให้เกิดคำถามว่า ที่ว่าวิน-วินนั้น ระหว่างประเทศไทยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ใคร "วิน" มากกว่ากัน...?
ตัวอย่างคลาสสิค คือ การที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยจำนวน 4,000 ล้านบาท ให้กับประเทศพม่า เพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาการสื่อสารและโทรคมนาคม
แล้วต่อมา ทางการพม่าได้จ้างให้บริษัท ชิน แซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้พัฒนาโครงการสื่อสารผ่านดาวเทียมระบบบอร์ดแบนด์ ด้วยเงินมูลค่า 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง ธสน.อนุมัติเงินไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2547
ที่น่าสนใจคือ บริษัทพม่าที่รับงานพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคมของพม่า เป็นบริษัทของลูกชาย พล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรีพม่าขณะนั้น จึงไม่แปลกที่ช่วงนั้นจะมีเสียงครหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้ภาษีประชาชนต่อทั้ง "ธุรกิจ" และ "การเมือง" เพื่อตัวเอง
ประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังลามไปถึงประเทศลาว หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณลงนามในปฏิญญาพุกาม (Bagan Declaration) กับผู้นำกัมพูชา ลาว และพม่า ที่มีสาระสำคัญคือ ให้ความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน การคมนาคม ฯลฯ ในปี 2546
จากนั้นก็มีการเปิดซองประมูลโครงการก่อสร้างถนนสายเชียงราย-คุนหมิง วงเงิน 1,358 ล้านบาท โดยทางการไทยเป็นผู้ให้เกินกู้ ซึ่งแทนที่บริษัทที่ชนะการประมูลไม่ใช่บริษัทที่ให้ราคาต่ำสุด แต่สาเหตุได้งานเพราะมีข่าวว่ามีนักการเมืองคนหนึ่งไปล็อบบี้ให้
กับประเทศสิงคโปร์ นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะยกย่องสิงคโปร์เป็น "โมเดล" ในการพัฒนาประเทศ มีการทำข้อตกลงความร่วมมือหลายด้าน
เชื่อว่าคงไม่มีใครลืม "ดีลประวัติศาสตร์" เมื่อบริษัทชินคอร์ปของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายหุ้นจำนวน 1,487.7 ล้านหุ้น (ร้อยละ 49.5 ของทุนจดทะเบียน) มูลค่า 73,269 ล้านบาท ให้กับกองทุนเทมาเส็ก ในวันที่ 23 มกราคม 2549
เป็นการขายหุ้นหลังจากการที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ให้บริษัทของคนต่างด้าวถือหุ้นในบริษัทกิจการโทรคมนาคม จากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 49
จึงไม่น่าแปลกที่หลังถูกปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณจะบินไปแวะจิบน้ำชาที่สิงคโปร์บ่อยครั้ง เพราะอย่าลืมว่า ผู้บริหารกองทุนเทมาเส็กขณะนั้นมีชื่อว่า "โฮ ชิง" ผู้มีศักดิ์เป็นภริยา ลี เชียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์
ด้านกัมพูชาที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณกับสมเด็จฯฮุน เซน แนบแน่นกันสุดสุด นอกจากบริษัทในเครือชินคอร์ปได้ลงทุนธุรกิจด้านเคเบิลทีวี โทรศัพท์มือถือ และดาวเทียมในกัมพูชามาตั้งแต่ก่อนขึ้นเป็นรัฐบาล
สมัยพรรคไทยรักไทยเรืองอำนาจ "กัมพูชา" ยังได้รับการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ
ทั้งผลักดันเอ็มโอยูแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่เป็นแหล่งผลประโยชน์มหาศาล ทั้งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเคยชะงักสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย แต่ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กลับสามารถจรดปากกาลงนามเอ็มโอยูฉบับสำเร็จ ในวันที่ 14 มิถุนายน 2544
ออกมติ ครม.สนับสนุนการก่อสร้างถนนหมายเลข 48 เกาะกง-สแรอัมเบิลในกัมพูชา (มติ ครม. 8 มกราคม 2545) ไม่รวมถึงถนนหมายเลข 67 สะงำ-อัลลองเวง-เสียมราฐ (มติ ครม. 31 พฤษภาคม 2546) โดยให้ทั้งเงินและเครื่องมือในการก่อสร้าง
ไม่นับการให้เงินช่วยเหลือรัฐบาลกัมพูชาหลายครั้งหลายหน รวมแล้วหลายพันล้านบาท
6 ปีรัฐบาลไทยรักไทย และ 1 ปีรัฐบาลพลังประชาชน ที่มีการนำเงินภาษีประชาชนไปช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านมากมาย นอกจากทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีสายสัมพันธ์กับแกนนำรัฐบาลเพื่อนบ้านแล้ว
คำถามคือ "คนไทย" ได้ประโยชน์อะไรจาก "ดีล" เหล่านั้นบ้าง
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol02131152§ionid=0133&day=2009-11-13
จากคุณ |
:
sao..เหลือ..noi
|
เขียนเมื่อ |
:
13 พ.ย. 52 20:35:57
A:58.8.173.246 X:
|
|
|
|  |