PANTIP.COM : P8565599 แรงงานฝีมือไทยขาดแคลนหนัก []

ความคิดเห็นที่ 39

ว่าจะไม่แล้วเชียว ..
แต่อดไม่ได้เวลาเห็นข้อมูลที่เล่าแบบเอาแต่ผลมาพูดโดยไม่กล่าวถึงเหตุ

ประการที่ 1 เรื่องขาดแคลนแรงงานฝีมือ

ผมเคยคุยกับคุณ Thyrocyte ไปครั้งนึงแล้วเกี่ยวกับเรื่องภาวะการว่างงานนี้
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ภาพที่คุณ Thyro ฯ พยายามฉายให้เราชื่นชมกันนั้น
มันเป็นแค่เรื่องการขาดแคลนแรงงานสาขาเดียวในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ในบางช่วงเวลา ฝนฟ้าน้ำท่าไม่อำนวย เรือกสวนไร่นาล่มแล้ง แรงงานภาคเกษตรกรรม
ก็จะผันตัวเองมาทำอาชีพสาขาอื่น เช่น โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ, การก่อสร้าง,
การค้าปลีกค้าส่ง และอีก ฯลฯ ซึ่งเมื่อมีการผลัดเปลี่ยนฤดูกาลและฝนฟ้าเป็นใจ
ภาคเกษตรกรรมเริ่มจะกลับมาฟื้นตัวในฤดูกาลเพาะปลูก แรงงานภาคเกษตรฯก็จะขาดแคลน
เหตุเพราะแรงงานกลุ่มเดิมนั้น ยังคงมีภาระติดอยู่กับงานใหม่ตามโรงงาน ตามอาคารต่าง ๆ
และไม่สามารถพาตัวเองกลับมาสู่ภาคเกษตรกรรมได้ทันกาล

การขาดแคลนแรงงานในบางสาขาอาชีพนั้น มันเกิดเป็นธรรมชาติอยู่แล้วในระบบเศรษฐกิจ
แบบเสรี แต่จะไม่เกิดขึ้นในระบอบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่รัฐบาลเป็นผู้กำหนดว่า
ใครจะต้องประกอบอาชีพอะไร ดังนั้นประเด็นที่คุณ Thyro ฯ ยกขึ้นมานั้น ผมคิดว่า
ไม่ใช่ดัชนีที่จะบ่งชี้อะไรได้มากนัก โดยเฉพาะกับจำนวนเพียง 8,962 ตำแหน่งด้วยแล้ว
ยิ่งไม่ถือว่าเป็นตัววัดอะไรได้เลย เพียงแต่สามารถสันนิษฐานได้เท่านั้นว่า Sector ของอุตสาหกรรม
ที่ยกขึ้นมานั้นมันกลับมาดีขึ้นจริง แต่นั่นแหละครับ .. เราก็ต้องมาดูกันอีกว่า แรงงานที่
ขาดแคลนนี้ ขาดแคลนแบบไหน และจะต้องไปทำงาน ณ ถิ่นฐานใด หากเป็นการนำแรงงาน
ฝีมือเหล่านี้ไปทำงาน ณ หน่วยลงทุนของไทยในต่างประเทศ นั่นจะกลายเป็นคนละความหมาย
กับที่คุณ Thyro ฯ ต้องการจะฉายภาพออกมาอย่างสิ้นเชิง

ผมเคยสนทนากับท่าน จขกท. ไว้แล้วครั้งนึงเกี่ยวกับเรื่องสภาวะการว่างงานนี้โดย
ผมได้เสนอข้อมูลไว้ว่า

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

"ในเดือน มิย. ปีนี้มีจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จำนวนประมาณ 1 ล้านคน
หรือ 2.7% จริง ๆ แต่ในจำนวน 1 ล้านคนที่มีงานทำเพิ่มขึ้นนี้ไปเพิ่มอยู่ในภาคเกษตรกรรมถึง 4.7 แสนคน
หรือเกือบ ๆ จะครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีงานเพิ่มขึ้น ในขณะที่การขายส่งและขายปลีกเพิ่มขึ้น 4.5 แสนคน
และรองลงมาคือสาขาการก่อสร้างอีก 1.0 แสนคน

คราวนี้มาดูส่วนการจ้างงานที่ลดลงบ้างครับ

สาขาการผลิตลดลง 9 หมื่นคน สาขาการขนส่งฯ 8 หมื่นคน สาขาการโรงแรมและภัตตาคาร 2 หมื่นคน
และสาขาบริหารราชการแผ่นดิน 1 หมื่นคน มันมีนัยสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
การลดลงของผู้มีงานทำในภาคการผลิตซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการส่งออกของประเทศ ๆ นี้
รวมทั้งระบบ Logistic และการท่องเที่ยวการบริการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรายได้ของประเทศนี้มันได้หดตัวลง

แต่กลับไปเพิ่มในสาขาเกษตรกรรมและสาขาอื่น ๆ ที่เป็น Domestic แทบจะทั้งหมด
ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีสาขาการก่อสร้างรวมอยู่ในการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นด้วยอย่างแน่นอน
เพราะอะไร ? เพราะรัฐมีขีดความสามารถเข้าไปแทรกแซงได้เฉพาะในกลไกพื้นฐานเท่านั้น
ส่วนการจ้างงานในภาคสาขาที่จะนำเงินตราต่างประเทศเข้ามานั้นกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งอาจชี้ให้เกิดความคิดขึ้นมาได้ว่า ประเทศของเรายังไม่ฟื้นอย่างแท้จริงก็เป็นได้"

------------------------------------------------------------------------------------------------------

ยังมีผลพวงอีกหลายประการที่จะเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจไปที่ภาคเกษตรกรรม
เรื่องง่าย ๆ ที่จะมีปัญหาแน่ ๆ ก็คือเรื่องของราคาสินค้าเกษตร กล่าวคือเมื่อมีการกระตุ้น
การผลิตในภาคการเกษตร พืชผลต่าง ๆ ที่จะออกมาสู่ตลาดก็จะเพิ่มมากขึ้นแต่เราไม่มีที่จะขาย
ไทยไม่สามารถเปิดตลาดใหม่ ๆ ในปริมาณมาก ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายแบบ G to G
หรือการขายกันเองโดยภาคเอกชนก็ตาม ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นก็ได้แก่การชวด
โอกาสในการประมูลข้าว 2 แสนกว่าตันและมันสำปะหลังในปริมาณพอ ๆ กันเมื่อเร็ว ๆ นี้
ซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งกันเองของคนในรัฐบาลที่วุ่นไม่จบ

แล้วจะทำยังไงต่อไป??

รัฐบาลก็ต้องเสนอหน้าเข้าไปรับประกันราคาสิครับ แล้วถามว่า "เอาเงินที่ไหนไปเที่ยวรับประกัน ฯ"
ก็เงินจากภาษีอากรของเราและเงินที่รัฐบาลเที่ยวไปกู้ยืมชาวบ้านเขามานั่นแหละครับ

ผมคงไม่ต้องอธิบายต่อนะครับว่าผลลัพธ์จากการแก้ผ้าเอาหน้ารอดของรัฐบาลชุดนี้
จะสร้างปมปัญหาอะไรทิ้งไว้บ้างในอนาคต

ประการที่ 2 เรื่องสถิติยานยนต์กับการส่งออกเนื้อไก่

ซึ่งคง Thyro ฯ คงจะเผลอลืมไปว่ารูปที่เอามาแปะไว้นั้น มันซ้ำ ๆ มาหลายกระทู้แล้ว
และเป็นการประชาสัมพันธ์มากกว่าการนำเสนอข้อเท็จจริง ซึ่งผมขออนุญาตขัดคอบ้างสั้น ๆ

เรื่องมูลค่าส่งออกยานยนต์นั้น ลองสังเกตุให้ดีจะพบว่ามูลค่าการส่งออกรถยนต์ทั้งคันนั้น
มันไม่ได้เพิ่มขึ้น หนำซ้ำยังมีมูลค่าต่ำกว่าเมื่อครึ่งแรกของปีนี้ด้วยซ้ำ ส่วนที่เพิ่มขึ้นนั้น
มันเพิ่มขึ้นในเรื่องชิ้นส่วนอะหลั่ยและชิ้นส่วนที่จะนำไปใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์
นั่นเป็นผลจากการที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนประเภทนี้ใน บราซิล, เม็กซิโก และยุโรปตะวันออก
ได้ปิดตัวลง บรรดาโรงงานผลิตรถยนต์ต่าง ๆ จึงหันมาสั่งผลิตจากไทย .. ก็เท่านั้น
ผมถือเป็นข่าวดีท่ามกลางข่าวร้าย แต่ไม่ใช่ผลจากการทำงานของรัฐบาล มันแค่ "บังเอิญ" ครับ

เรื่องการส่งออกเนื้อไก่ก็เช่นเดียวกัน ไทยส่งออกไก่แปรรูปไปยังตลาดญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น
เป็นผลมาจากญี่ปุ่นหันมานำเข้าไก่แปรรูปจากไทยแทนการนำเข้าจากจีน ด้วยเหตุผล
เกี่ยวกับสิ่งปนเปื้อนในสินค้าอาหารของจีน ซึ่งจีนจะต้องกลับเข้ามาแย่งเอาตลาดกลับคืนไปในเร็ววันนี้

ส่วนการส่งออกไก่แปรรูปไปขายให้ EUนั้น ถึงไทยยังคงครองตลาดอันดับหนึ่งมาตลอด
แต่ในปี 2009 ผู้นำเข้าเริ่มหันไปนำเข้าจากบราซิลเพิ่มขึ้น ซึ่งหากอยากจะรักษาตลาดนี้ไว้ได้นั้น
รัฐบาลต้องเจรจาขอโอนโควตาชดเชยที่ EU ให้ไทยในรูปของไก่หมักเกลือ เปลี่ยนมาเป็นโควตาไก่แปรรูปแทน
เพราะไทยส่งออกไก่หมักเกลือไม่ได้ เนื่องจากถือว่าเป็นไก่สดและไทยยังไม่ได้รับการประกาศว่าปลอดจากไข้หวัดนก
แล้วรัฐบาล (โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศ) ขยับก้นกันบ้างรึยัง .. ไม่มีเล๊ยยยย

... การประชาสัมพันธ์จะต้องนำเสนอข้อมูลที่แท้จริงและครบถ้วน การบิดเบือนหรือการเลือก
ที่จะเสนอเฉพาะบางส่วนที่เป็นเครดิตกับตัวเองนั้น ผมไม่เรียกว่าเป็นการ "ประชาสัมพันธ์"
จะเป็นได้อย่างมากก็แค่ "โฆษณาชวนเชื่อ" ที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาจนเบื่อจะดูแล้วครับ ..
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 52 23:19:27

จากคุณ : มหาชำร่วย (ยุคที่2..มหาReload)

เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 52 23:05:05 A:124.120.135.185 X: