 |
ความคิดเห็นที่ 7 |
ตอนแรกเมื่อหลายเดือนก่อนได้รับฟังท่าน ส.ว.ที่รับผิดชอบการออกแบบพูดคุยทางวิทยุรัฐสภาแล้วเคลิ้มมากๆครับ
ท่านบอกว่ารัฐสภาใหม่ได้ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาสวยงามมาก มีพื้นที่ขนาดใหญ่หลายร้อยไร่ ต้องการประกวดการออกแบบให้เป็นสถานที่ที่คนไทยและคนทั้งโลกเห็นต้องตลึง ต้องมาดูชม ต้องปรากฏอยู่ในรายการของบริษัทนำเที่ยวทั่วโลกที่จะต้องมีโปรแกรมนำลูกค้ามาชม ควรมีการเก็บเงินค่าเช้าชม ๑๐-๒๐ บาท/คนเพื่อให้เป็นรายได้มาบำรุงรักษาดูแลสภาพบริเวณนอกจากงบประมาณของรัฐสภาที่มีอยู่แล้ว
ท่านบอกต่อว่า ในการประกวดแบบ Conceptual Design จะเปิดกว้างมากโดยให้ บริัษัท,นิติบุคคลทุกประเภท,บุคคลธรรมดา หรือคณะบุคคล ส่งแบบเข้าประกวดโดยเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องเป็นนิติบุคคลทุนจดทะเบียนสูงๆหรือผ่านงานการออกแบบขนาดใหญ่มาก่อนเป็นข้อกีดกัน เมื่อประกวดได้แบบแล้วจึงจะมีการพัฒนาเป็นแบบก่อสร้างและแบบอื่นๆ
ครับ-ฟังท่านพูดแล้วผมเห็นด้วยกว่า ๑๐๐% ในใจคิดว่าคราวนี้แหละกลุ่มอาคารรัฐสภาไทยจะแข่งขันกับรัฐสภาอเมริกา ของอังกฤษที่ริมแม่น้ำเทมส์ ของฮังการีที่ริมแม่น้ำดานูบ หรือเป็นแลนด์มาร์คคล้ายๆกับโรงโอเปร่าที่ริมอ่าวซิดนีย์ ออสเตรเลีย
พอถึงเวลาประกาศผลได้ดูแบบรอบสุดท้ายที่มีการเผยแพร่ออกมาจริงๆ ผมผิดหวังมาก เพราะแย่กว่าที่หวังไว้มาก แบบที่ได้รับเข้ารอบค่อนข้างห่างไกลกับภาพที่ผมคิดและข้อความที่ท่าน ส.ว.ท่านั้นนำเสนอ
โดยสรุปผมนึกเอาเองว่าสถาปนิกไทยเราฝีมือยังห่างชั้นสถาปนิกระดับนานาชาติมาก เราควรเปิดโอกาสรับการประกวดแบบจากสถาปนิกทั่วโลกเหมือนที่ออสเตรเลียเคยประกวดแบบแล้วได้สถาปนิกชาวเดนมาร์ค(หรือชาติละแวกนั้นล่ะ)เป็นผู้ชนะในการออกแบบโรงโอเปร่าที่นครซิดนีย์
เรื่องของสถาปัตยกรรมไม่มีขอบเขตพื้นที่ ไม่มีชนชาติ ฯลฯ หากแบบที่ประกวดไม่ถูกใจคณะกรรมการควรยกเลิกแล้วประกวดใหม่ก็ได้จนกว่าจะถูกใจ เพราะแม้จะช้าแต่ได้แบบที่ถูกใจคนดีกว่าไปสร้างแบบที่ถูกด่ากันจนถึงหลาน เหลน โหลน งานนี้ก็ไม่ใช่งานเร่งด่วนอะไรนัก(เพราะว่าที่เร่งด่วนคือการจัดหาที่ดิน เมื่อได้ที่ดินแล้วก็รอคอยแบบได้)
นี่เป็นความเห็นส่วนตัวและไม่ได้ดูถูกภูมิปัญญาสถาปนิกชาติเรานะครับ
อ้อ..เพิ่มเติมนิดหนึ่งว่าสถาปนิกคณะหรือคนใดที่ส่งแบบประกวดและได้เข้ารอบแรก รัฐควรมีงบประมาณช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้เขาประมาณ ๑ แสน,๒ แสนบาท เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านค่าโมเดล ค่าความคิด ค่าแรงงานของผู้ออกแบบและดร้าฟท์แมน งานใช้สมองดูเหมือนไม่ต้องลงทุนเหมือนงานที่ต้องใช้เครื่องจักรผลิต แต่ความจริงค่า Know how ก็เป็นต้นทุนครับ ผมเคยให้มัณฑนากรคนหนึ่งออกแบบตกแต่งภายในบ้านพัก เขาทำมาไม่ถุกใจเลย ปรับปรุงยังไงๆก็ไม่ถูกใจจึงถือว่าเรา(คือเขากับผม)ไปกันไม่ได้ ผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ผมยอมจ่ายค่าป่วยการต่างๆให้เขาไป ๓๐,๐๐๐ บาท เพราะเขามีต้นทุนคือจต้องเรียนคณะมัณฑนศิลป์ถึง ๕ ปี ต้องเสียเวลา ต้องใช้ความคิดและแรงงานทั้งตัวเองและลูกน้อง เขาจึงสมควรได้เงินครับ เหมือนเราไปปรึกษาอรรถคดีทนายความเราควรจ่ายเงินเขาแม้ว่าเราจะไม่ได้โนติ้สหรือยื่นฟ้องร้องใคร เพราะทนายก็ต้องกินต้องใช้เช่นกัน!!!
จากคุณ |
:
พาชื่น
|
เขียนเมื่อ |
:
29 พ.ย. 52 20:41:15
A:124.120.91.2 X:
|
|
|
|
 |