ความคิดเห็นที่ 1 |
ลองตัดเอาข้อความมาบางส่วน ที่คิดว่าน่าจะเป็นหลักการ
ลองอ่านดูนะครับ (เนื้อหาจะไม่ประติดประต่อกันเพราะ cut and paste มา)
ทฤษฎีของการทำสงครามปฏิวัติ โดยเน้นหนักทฤษฎี “สงครามประชาชน (People's War)” ของเหมาเจ๋อตุง
แม้ว่าลักษณะของการทำ สงครามปฏิวัติจะแตกต่างกันในเรื่องรูปแบบของยุทธวิธีที่ใช้ แต่เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ยังคง เหมือนเดิมคือ ต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ยุทธวิธีหรือรูปแบบของการต่อต้านรัฐบาล (Insurgency) “การปฏิวัติ หรือ Revolution” โดยพิจารณาจาก ระดับความรุนแรงของการดำเนินการแล้ว อาจแบ่งรูปแบบออกเป็น ๖ รูปแบบ กล่าวคือ การ ต่อต้านโดยไม่ใช้ความรุนแรง (Non – Violent Resistance) การยึดอำนาจรัฐด้วยการทำ รัฐประหาร (Coup) การทำสงครามกองโจร (Guerrilla Warfare) การก่อการร้าย (Terrorism) การก่อการจลาจล และการปฏิวัติ (Riot / Revolution) และประการสุดท้าย คือ การทำสงครามการเมือง (Civil War)
แนวความคิดของสงครามปฏิวัติภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์ดังกล่าวนั้น มีผู้นำคนสำคัญ ๆ ในประเทศต่างๆ นำไปดัดแปลงแก้ไขวิธีการ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละประเทศ และ แต่ละสมัย เรียกกันโดยทั่วไปว่า เป็นแขนงต่างๆ ของลัทธิคอมมิวนิสต์
-นิกิตา ครุสชอฟ เสนอหลักการอยู่ร่วมกันโดยศานติ (Peaceful Co – existence) แทนที่จะใช้วิธีก้าวร้าว รุนแรง -กลยุทธ์การทำสงครามปฏิวัติที่เรียกกันว่า “กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง” ของเหมาเจ๋อตุง -แนวทางการต่อสู้โดยผสมผสานระหว่างหลักการของเลนินและเหมาเจ๋อตุงของโฮจิมินต์ ที่รู้จัก กันดีว่า “กลยุทธ์ป่าประสานเมือง”
เหมาฯ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ ของฐานที่มั่น ซึ่งเป็นรากฐานแนวความคิดในการทำสงครามปฏิวัติ ดังนี้
๑ ) การต่อสู้เพื่อทำการปฏิวัตินั้นต้องเป็นการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ และฝ่ายปฏิวัติจำเป็น ต้องสร้างกองทัพขึ้น จนมีความเข้มแข็งทัดเทียมกับข้าศึก
๒ ) การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธนี้อาศัยชาวนาเป็นพื้นฐาน และฐานที่มั่นของการทำสงคราม ปฏิวัติ จะมีขึ้นได้แต่ในบริเวณพื้นที่ที่ห่างไกลออกมาจาก ตัวเมืองมาก และ การคมนาคม ลำบาก จนกองทัพข้าศึกไม่สามารถทุ่มกำลังบุกเข้าไปเป็นจำนวนมากได้
๓ ) การปฏิรูปที่ดินกับความสามารถในการเลี้ยงตนเอง มีความสำคัญต่อแผนยุทธศาสตร์ ทั่วไป ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและชาวนาต้องมีบทบาท มากที่สุด กำลังคนที่จะเข้าร่วมต้องมี ความสำนึกทางการเมืองสูง ซึ่งหมายถึงนักปฏิวัติอาชีพและปัญญาชนที่มีจิตใจสู้รบ ที่อยู่รอด ชีวิตจากการปราบปราม ในตัวเมือง และยึดมั่นในอุดมการณ์ลัทธิมาร์กซิสต์
๔ ) จะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจปกครองท้องถิ่นก่อน โดยยังคงดำเนินไปในแนวทาง เดียวกันกับของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต
๕ ) การต่อสู้เป็นการต่อสู้ในระยะยาวหมายถึงว่า จะต้องอาศัยอาณาบริเวณชนบท ซึ่งมี เงื่อนไขที่สำคัญที่สุด เพราะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ ส่วนในตัวเมืองนั้นมีปัญหามาก เช่น ปัญหาการจ้างงาน เศรษฐกิจ และการค้าขาย เป็นต้น
ในการแย่งชิงอำนาจรัฐ จากรัฐบาลจะต้องใช้วิธีปลุกระดมมวลชน ให้ลุกขึ้นต่อสู้โดย เงื่อนไขประชาธิปไตย และเงื่อนไขประชาชาติ และใช้เงื่อนไขต่างๆ เช่น เงื่อนไขเศรษฐกิจ เงื่อนไขความไม่เป็นธรรมใน สังคม เป็นเครื่องมือในการรุกทางการเมือง เพื่อเตรียมมวลชนปฏิวัติ ทำสงครามประชาชนด้วย กองกำลังติดอาวุธ ตามกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ทำการต่อสู้แบบยึดเยื้อยาวนานจนกว่าจะได้รับชัย ชนะ
แบ่งยุทธวิธีออกเป็น ๓ ขั้นตอน
ขั้นรับ ในขณะที่มีกำลังน้อยกว่ากำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องดำเนินการแทรกซึมบ่อน ทำลาย และปลุกระดมทุกรูปแบบ โดยดำเนินการทั้งในเมืองและชนบทเพื่อให้เกิดความแตก แยกในหมู่ประชาชนและข้าราชการ โดยชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอและความล้มเหลวของรัฐบาล สำหรับการสู้รบใช้แบบ จรยุทธ์ (Mobile Warfare) ซุ่มยิง ซุ่มโจมตี หรือยิงรบกวน
ขั้นยัน ในขั้นตอนนี้ฝ่ายที่ทำสงครามปฏิวัติ จะพยายามทำลายเศรษฐกิจของชาติทุก วิถีทาง และสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคม สำหรับในชนบทนั้นจะทำการสู้รบด้วยสงคราม จรยุทธ์เป็นหลัก ด้วยการต่อต้านกำลังป้องกันและปราบปรามฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งเข้าครอบครอง พื้นที่ในชนบท บางแห่งเพื่อประกาศเป็นเขตปลดปล่อย และฐานที่มั่น
ขั้นรุก ขั้นนี้เป็นขั้นที่ฝ่ายปฏิวัติจะทำการรุกทางทหาร และดำเนินสงครามจิตวิทยาอย่าง กว้างขวาง การเปิดสงครามรบพุ่งจะเป็น การใช้กำลังรบตามแบบ (Conventional Warfare) เพื่อให้ได้ชัยชนะในขั้นแตกหัก ยึดเมือง และทำการปฏิวัติล้มล้างการปกครองและยึดอำนาจรัฐ และบีบบังคับให้รัฐบาลต้อง ยอมจำนนในที่สุด
แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 52 22:35:12
จากคุณ |
:
คือ.........ฉันเอง
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ธ.ค. 52 22:26:35
A:58.9.189.104 X:
|
|
|
|