 |
บทความ โดย อ.ปิยบุตร นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์:เมื่อศาลปฏิเสธรัฐประหาร ก้าวแรกในประวัติศาสตร์ กม.ไทย
|
|
เมื่อศาลปฏิเสธรัฐประหาร : ก้าวแรกในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
ปิยบุตร แสงกนกกุล หากพิจารณาประวัติศาสตร์กฎหมายไทยยุคใหม่ คงไม่เกินเลยไปนักหากจะกล่าวว่า เป็นวัฒนธรรมทางกฎหมายไปแล้วที่ศาลไทยยอมรับ-ให้ความสมบูรณ์แก่รัฐประหาร และผลิตผลของรัฐประหาร เมื่อเผชิญหน้ากับรัฐประหาร ศาลไทยไม่เคยปฏิเสธรัฐประหาร ไม่เคยประกาศผ่านคำพิพากษาว่ารัฐประหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตรงกันข้ามในคำพิพากษาศาลฎีกาหลายกรณี ศาลยอมรับการดำรงอยู่ของคณะรัฐประหาร โดยถือหลักว่าเมื่อเริ่มแรกรัฐประหารเป็นสิ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนกระทั่งคณะรัฐประหารได้กระทำการจนสำเร็จและยึดอำนาจได้อย่างบริบูรณ์ สามารถยืนยันอำนาจของตนและปราบปรามอำนาจเก่าหรือกลุ่มที่ต่อต้านให้เสร็จสิ้น เมื่อนั้นคณะรัฐประหารก็มีสถานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจออกรัฐธรรมนูญใหม่หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญเก่า ตลอดจนการออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมายได้ พูดง่ายๆก็คือ ศาลไทยให้ความสำคัญ อำนาจ ในความเป็นจริงเป็นสำคัญ มากกว่าจะพิจารณาถึงความถูกต้องของ กระบวนการได้มาซึ่งอำนาจ นั่นเอง เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๖๖๒/๒๕๐๕ ในพ.ศ.๒๕๐๑ คณะปฏิวัติได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศไทยได้เป็นผลสำเร็จ หัวหน้าคณะปฏิวัติย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิวัติสั่งบังคับประชาชนก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงตราออกด้วยคำแนะนำหรือยินยอมของสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม หรือคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๓๔/๒๕๒๓ แม้จะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยออกประกาศใช้แล้วก็ตาม แต่ก็หาได้มีกฎหมายยกเลิกประกาศหรือคำสั่งคณะปฏิวัติหรือคณะปฏิรูปการปกครองผ่นดินไม่ ประกาศหรือคำสั่งนั้นจึงยังคงเป็นกฎหมายใช้บังคับอยู่ ถึงกระนั้นก็ตาม ศาลไทยพยายามใช้และตีความกฎหมายเพื่อพิพากษาไปในทางที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากประกาศคณะรัฐประหารอยู่บ้าง โดยพิจารณาว่าประกาศของคณะรัฐประหารขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังกรณี กฎหมายควบคุมอันธพาล หรือกรณีประกาศ รสช.เรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง กรณี กฎหมายควบคุมอันธพาล นั้น ศาลแขวงอุบลราชธานีในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๙๑๘/๒๕๑๒ เห็นว่าประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๓ พ.ศ.๒๕๐๓ เกี่ยวกับการควบคุมตัวอันธพาลนั้นขัดรัฐธรรมนูญ เพราะ ให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นอันธพาล และมีอำนาจส่งตัวบุคคลนั้นไปยังสถานอบรมและฝึกอาชีพจึงมีผลเท่ากับเป็นการตั้งให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจพิจารณาคดีชี้ความผิดและลงโทษบุคคลได้ นอกจากนี้ประกาศฉบับนี้ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาการลงโทษที่แน่นอนชัดเจน และโทษที่จะลงนั้นหนักเบาสถานใด สุดแท้แต่คณะกรรมการจะพิจารณา ทำให้โทษที่ได้รับไม่ได้สัดส่วนกับความผิดและไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกลงโทษ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ยืนยันในคำวินิจฉัยที่ ๑/๒๕๑๓ ว่าประกาศฉบับนี้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แม้ศาลจะไม่ปฏิเสธความเป็นกฎหมายของประกาศคณะรัฐประหาร แต่ศาลก็พยายามใช้และตีความเพื่อลดความเข้มข้นของประกาศคณะรัฐประหารและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามประกาศคณะรัฐประหารต่างๆ เพื่อควบคุมตัวในข้อหาบ่อนทำลายความมั่นคงบ้าง ในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง ในข้อหาเป็นภัยต่อสังคมบ้าง ศาลก็จะใช้และตีความกฎหมายไปในทางที่คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยการสั่งให้ปล่อยตัวบ้าง ลดจำนวนวันคุมตัวบ้าง ตลอดจนพิจารณาว่ามูลเหตุแห่งการควบคุมตัวนั้นตรงตามที่ประกาศคณะรัฐประหารกำหนดหรือไม่ มีข้อควรสังเกตว่า เมื่อศาลไทยเผชิญหน้ากับรัฐประหาร ผลิตผลของคณะรัฐประหาร คำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารแล้ว ศาลจะรับรองการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ เว้นเสียแต่ว่า ผลิตผลของคณะรัฐประหารเข้ามารุกล้ำศาล มีผลกระทบกระเทือนต่อศาล หรือลิดรอนอำนาจของศาล เมื่อนั้นศาลก็ไม่ลังเลที่จะปฏิเสธคำสั่งหรือประกาศของคณะรัฐประหารเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธผ่านทางคำพิพากษา หรือปฏิเสธผ่านทางการแสดงออกด้วยการกดดัน การปฏิเสธประกาศคณะรัฐประหารผ่านทางคำพิพากษา ก็โดยการวินิจฉัยว่าประกาศคณะรัฐประหารขัดรัฐธรรมนูญ เพราะ ตั้ง คณะบุคคลที่มิใช่ศาล ให้มีอำนาจทำการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเช่นเดียวกับศาล หรือ ใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาย้อนหลังไปลงโทษบุคคล ส่วนการปฏิเสธประกาศคณะรัฐประหารด้วยการกดดัน ก็เช่นกรณี กฎหมายโบดำ ที่คณะรัฐประหารของจอมพลถนอม กิตติขจรได้ตราประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๙ เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ เกี่ยวกับระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ ฝ่ายตุลาการเห็นกันว่าประกาศนี้ส่งให้ฝ่ายบริหารเข้าแทรกแซงความเป็นอิสระของศาล มีการรณรงค์คัดค้านประกาศนี้อย่างกว้างขวาง ประธานศาลฎีกาออกโรงมาเขียนแถลงการณ์สาธารณะแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน มีการชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกประกาศนี้ เพียงสองสัปดาห์ รัฐบาลถนอมก็ทนแรงกดดันไม่ไหว ต้องผลักดันให้ตราพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๙๙ คงไม่เกินเลยไปที่จะกล่าวว่า ศาลไทยพร้อมจะ ชน กับคณะรัฐประหาร ถ้าคณะรัฐประหารเข้ามาล้ำแดนความเป็นอิสระของศาลหรือเข้ามาแตะต้องวัฒนธรรมองค์กร แต่กับกรณีที่คณะรัฐประหารเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลอันขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงนั้น ศาลไทยกลับยอมรับ หรือกรณีที่หัวหน้าคณะรัฐประหารใช้อำนาจเผด็จการตามมาตรา ๑๗ แบบสฤษดิ์ ศาลไทยกลับนิ่งเฉยไม่รับคำฟ้องโดยให้เหตุผลว่าไม่มีอำนาจ ตลอดจนกรณีที่คณะรัฐประหารตราธรรมนูญการปกครองชั่วคราวเพื่อใช้แทนรัฐธรรมนูญเดิม โดยมีเนื้อหาที่ขัดกับหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตย ให้อำนาจเผด็จการแก่หัวหน้าคณะรัฐประหารเพียงผู้เดียว ศาลไทยกลับยืนยันว่าทำได้ อาจเหมือนที่เสน่ห์ จามริกตั้งข้อสังเกตไว้ใน การเมืองไทยกับพัฒนาการรัฐธรรมนูญ ว่าท่าทีของฝ่ายตุลาการที่ต่อต้านประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๙ อย่างจริงจังถึงขั้นชุมนุมประท้วงนั้น เพราะเนื้อหาของประกาศฉบับนี้กระทบต่อการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตุลาการ น่าเสียดายที่ท่าทีคัดค้านอย่างชัดเจนรุนแรงขององค์กรตุลาการเช่นนี้กลับไม่เกิดขึ้นกับการก่อการรัฐประหารหรือประกาศคณะรัฐประหารที่มีเนื้อหาไม่เป็นธรรมอื่นๆ เมื่อพิจารณาประกอบกับบทบัญญัติในมาตรา ๓๐๙ ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ซึ่งบัญญัติว่า บรรดาการใดๆ ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราขอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๔๙ ว่าเป็นการชอบด้วยกฏหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ แล้ว คงแทบไม่ต้องคาดหวังเลยว่าศาลไทยจะประกาศไม่ยอมรับรัฐประหาร ๑๙ กันยายน นับแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ มีบททดสอบหลายกรณีขึ้นไปสู่ศาล ศาลมีโอกาสหลายครั้งในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับรัฐประหารหรือผลผลิตของรัฐประหาร แต่คำตอบที่สังคมได้รับยังคงอยู่ในสูตรเดิมๆ ประเภทที่ว่า คณะรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ หรือทันสมัยหน่อยก็เช่น บทบัญญัติในมาตรา ๓๐๙ ของรัฐธรรมนูญรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญให้กับรัฐประหารและผลผลิตของคณะรัฐประหาร จนกระทั่งมาถึงคดีที่สังคมสนใจไม่มากเท่าไรนัก อย่างคดีของนายยงยุทธ ติยะไพรัช จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ (คดีหมายเลขแดงที่ อม.๙/๒๕๕๒) ดังที่ปรากฏตามข่าว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยมติเสียงข้างมากวินิจฉัยว่า นายยงยุทธจงใจแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินหนี้สินอันเป็นเท็จโดยปกปิดข้อเท็จจริงไม่แจ้งให้ทราบ จึงต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ และถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา ๕ ปี และมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. ให้จำคุก ๒ เดือน ปรับ ๔,๐๐๐บาท แต่นายยงยุทธไม่เคยมีคดีถูกลงโทษจำคุก จึงให้รอลงโทษไว้ ๑ ปี ผลของคำวินิจฉัยอาจไม่เกินความคาดหมายของนายยงยุทธ ผู้สนับสนุนนายยงยุทธ ผู้สนับสนุนขั้วการเมืองขั้วเดียวกับนายยงยุทธ ตลอดจนศัตรูทางการเมืองของนายยงยุทธ แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ ในคำวินิจฉัยส่วนตนของผู้พิพากษาท่านหนึ่งที่ร่วมเป็นองค์คณะในคดีนี้ (เสียงข้างน้อย) ได้ประกาศชัดเจนและตรงไปตรงมาถึงการไม่รับรองรัฐประหาร ผมมีข้อสังเกตสั้นๆ สามประเด็น หนึ่ง ผู้พิพากษาท่านนี้เห็นว่าศาลมีพันธกิจในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และปกปักรักษาประชาธิปไตย สอง ผู้พิพากษาท่านนี้เห็นว่าหากศาลรับรองรัฐประหาร ย่อมเป็นการส่งเสริมให้เกิดรัฐประหาร เป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป สาม ผู้พิพากษาท่านนี้เห็นว่าโลกปัจจุบัน นานาอารยะประเทศไม่ยอมรับรัฐประหาร เมื่อกาละและเทศะเปลี่ยนไปจากเดิม ศาลจึงไม่อาจรับรองรัฐประหาร ดังที่เคยปรากฏตามคำพิพากษาในอดีต ขอคารวะในความกล้าหาญ ความกล้าที่จะเป็นหินก้อนแรกของท่านผู้พิพากษากีรติ กาญจนรินทร์ หินก้อนแรกที่หย่อนลงไปในสายธารประวัติศาสตร์ ประกาศให้สังคมได้รับรู้ว่า... ในนิติรัฐ แบบไทยๆ และประชาธิปไตย แบบไทยๆ เป็นไปได้ที่ศาลจะไม่ยอมรับรัฐประหาร
จากคุณ |
:
จำปีเขียว
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ม.ค. 53 18:47:12
A:125.25.11.73 X:
|
|
|
|  |