 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
(1) ให้ทีโอทีลดส่วนแบ่งรายได้มือถือ 1. ประเด็นแก้ไขสัญญาข้อตกลงลดส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid)
AIS ได้รับการแก้ไขสัญญาภายหลังจากที่ DTAC ได้รับการแก้ไขสัญญากับ TOT แล้ว
การแก้ไขข้อตกลงลดส่วนแบ่งรายได้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid) ของ AIS นั้น เกิดจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2544 DTAC ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากับ TOT ในการจ่ายส่วนแบ่งรายได้จากเดิม อัตราที่ DTAC ต้องจ่ายให้กับ TOT เลขหมายละ 200 บาทต่อเดือน เป็นการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ที่ DTAC จ่ายให้กับ TOT ในอัตราร้อยละ 18 ของรายได้จากบริการโทรศัพท์ประเภทบัตรเติมเงิน (Prepaid) ตลอดอายุสัญญา
AIS จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมจาก TOT ในหลักการเดียวกันกับ DTAC ได้รับอนุมัติ ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 AIS ก็ได้รับอนุมัติจาก TOT ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญากับ TOT เรื่องการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับ TOT สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรเติมเงิน (Prepaid) ในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตรบริการโทรศัพท์แบบเติมเงิน (Prepaid) ตลอดอายุสัญญา และต้องชำระส่วนแบ่งรายได้เป็นรายเดือนจากเดิมที่ต้องชำระเป็นรายปี
ทั้งนี้เพื่อให้ AIS สามารถแข่งขันกับ DTAC ได้ ขณะเดียวกัน TOT ก็ได้กำหนดไว้ในสัญญาฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 6 ข้อที่ 7 ว่า เพื่อประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการบริษัทจะต้องลดราคาค่าบริการให้ประชาชน โดยในปีที่11-ปีที่15 ของปีดำเนินการตามสัญญาหลักในอัตราเฉลี่ยโดยรวมของแต่ละปีไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของค่าบริการที่ผู้ใช้บริการต้องชำระในปีที่ 11(พ.ศ. 2544) และในอัตราเฉลี่ยโดยรวมของแต่ละปีไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของค่าบริการที่ผู้ใช้บริการต้องชำระในปีที่11(พ.ศ. 2544) สำหรับปีที่16ปีที่25 ของปีดำเนินการตามสัญญาหลัก
ประชาชนได้เลือกใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาที่ถูกลง
ผลของการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาระหว่าง TOT กับ DTAC และ TOT กับ AIS เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2544 และ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 ตามลำดับ เป็นผลให้ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงิน (Prepaid) ให้กับลูกค้าผู้ใช้บริการโดยไม่ต้องจ่ายรายเดือน ทำให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงิน (Prepaid) เลือกใช้บริการได้ตามความพอใจและสามารถเลือกจ่ายค่าบริการในอัตราที่ถูกกว่าผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบรายเดือน (Postpaid) เป็น การเปิดโอกาสให้กับประชาชนทั่วไปได้เข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ง่าย ขึ้น เนื่องจากราคาค่าใช้บริการรายเดือนแบบบัตรเติมเงิน (Prepaid) ถูกลง ดังจะดูได้จากรายงานวิจัยของบริษัท Merrill Lynch ที่ระบุว่าอัตราค่าบริการเฉลี่ยรายได้ต่อเลขหมาย ARPU ของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 800 บาท ในปี 2544 และประมาณ 343 บาท ในไตรมาสที่สองของปี 2549
จำนวนยอดผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้น TOT ก็ได้รับส่วนแบ่งรายได้สูงขึ้น
เมื่ออัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน (Prepaid) ถูกลง เป็นผลให้ตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยรวมเติบโตประมาณ 1000% ในระหว่างปี 2544 ถึง 2549 คือจากจำนวนลูกค้าโดยรวมประมาณ 4.6 ล้านเลขหมาย ในปี 2544 เป็นประมาณ 41 ล้านเลขหมาย ในปี 2549 และ AIS ก็มีอัตราผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เติบโตจากประมาณ 3.2 ล้านเลขหมาย เป็นประมาณ 19.96 ล้านเลขหมาย ในปี 2549 ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปี ที่ผ่านมา AIS ได้ปฏิบัติตามสัญญาฯ ด้วยดีเสมอมา นอกจากนี้ AIS ได้ลงทุนอุปกรณ์แล้วยกให้ TOT ตามสัญญาจนถึงปัจจุบันเป็นมูลค่าประมาณกว่า 140,000 ล้านบาท พร้อมทั้งได้ส่งส่วนแบ่งรายได้ให้กับ TOT ตั้งแต่ ตุลาคม 2533 จนถึง กุมภาพันธ์ 2550 เป็นเงินประมาณ 83,400 ล้านบาท และชำระภาษีสรรพสามิต ตั้งแต่ มกราคม 2546 จนถึง กุมภาพันธ์ 2550 เป็นเงินประมาณ 31,400 ล้านบาท และ คาดว่าจนถึงสิ้นสุดอายุสัญญา อนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในอีก 9 ปี ข้างหน้า (พ.ศ. 2558) TOT อาจจะได้รับส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้นอีก มากกว่า 100,000 ล้านบาท
http://shincase.googlepages.com/indictmentinvolvingonais
จากคุณ |
:
ไทยอินเตอร์
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ม.ค. 53 07:56:04
A:58.136.7.213 X:
|
|
|
|
 |