 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
ขออนุญาต ยกข้อความของคุณลอร์ดแชมป์มาแปะให้อ่าน
ข้อมูลเรื่องนี้ ในราชดำเนินน่าจะพอหาอ่านได้ ลองใช้ smart search หาเอา อีกแห่งหนึ่งก็คือในคลังกระทู้เก่าของห้องราชดำเนิน
http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8739161/P8739161.html#86
ความคิดเห็นที่ 86 [ถูกใจ] [แจ้งลบ]
พระ ครูโอภาสธรรมทัศน์ หรือ "พระอุดมธีรคุณ" ผู้ปกครองวัดธรรมิการาม ฯ เจ้าอาวาสองค์ที่ 5 ซึ่งพระครูโอภาสธรรมทัศน์ ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ และเป็นพระรูปหนึ่งที่ร่วมลงมติเห็นชอบในการ ผาติกรรม (ขายที่ดิน) ทั้ง 2 แปลง ในครั้งนั้น และ เป็นผู้หนึ่งที่ ตกเป็นเหยื่อแห่ง เกมการเมือง ย้อน รำลึกอดีตให้ฟังว่า ก่อนขายที่ดิน หลวงพ่อ (หมายถึงพระราชเมธาภรณ์ ได้จัดให้มีการประชุมคณะสงฆ์ พระลูกวัดของวัดธรรมิการาม ฯ เพื่อขอความเห็นชอบ ลงมติ จะผาติกรรม ที่ได้รับบริจาค จำนวน 2 แปลง หรือไม่)
โดยให้พระลูกวัดยกมือ ตอนนั้นพระครูโอภาสธรรมทัศน์ ดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาส และมีพระลูกวัดรวมเป็น 18 รูป ผลการประชุมมี พระลูกวัดเห็นด้วย 14 รูป ไม่เห็นด้วย 4 รูป สุดท้ายเสียงข้างมากให้ ผาติกรรม
"จากนั้น หลวงพ่อ ได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการมูลนิธิมหามกุฏ ฯ ขอให้ ติดต่อผู้จัดการมรดก โอนที่ดินให้กับมูลนิธิมหามกุฎฯ เพื่อจะได้ดำเนินการผาติกรรม นำปัจจัย มาบำรุงวัด ครั้งนั้นศาลแพ่งมีคำสั่งอนุญาตให้มูลนิธิมหามกุฎฯ เป็นผู้จัดการมรดกของ คุณยายเนื่อม ตามที่ได้ยื่นคำร้อง"
พระครู โอภาสธรรมทัศน์ เล่าว่า ทางมูลนิธิมหามกุฎฯ บอกกับทางวัดว่าทางวัดจะเข้ามาจัดการมากกว่านี้คงไม่ได้ เพราะเจ้าของมรดกได้ทำพินัยกรรม มอบให้ทางมูลนิธิมหามกุฎฯ เป็นผู้ดูแลตามพินัยกรรม ซึ่งเป็นความประสงค์ของเจ้ามรดก คือนางเนื่อม ที่ทำไว้
"หลวงพ่อก็ได้ปรึกษาอาตมาว่า ควรให้ทางมูลนิธิมหามกุฎฯ เป็นผู้ดำเนินการแทนวัด ตามพินัยกรรมที่ได้กำหนด ส่วนการผาติกรรม จะได้ปัจจัยเท่าไร ท่านเองก็ไม่อาจรู้"
พระครู โอภาสธรรมทัศน์ มาทราบภายหลังว่าการผาติกรรมครั้งนั้นได้ปัจจัยเป็นเงิน (ดูสัญญาซื้อขาย) 140 กว่าล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือเก็บไว้ที่มูลนิธิมหามกุฎฯ 135 ล้านบาท เพื่อความให้แน่ใจ ก่อนผาติกรรม พระครูโอภาสธรรมทัศน์ ก็ได้ย้ำถามหลวงพ่อท่านว่า "หลวงพ่อจะเอาหรือไม่" หลวงพ่อ ตอบโดยให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาที่ดินทั้ง 2 แปลง ทางวัดเก็บค่าเช่าได้เพียง ปีละ 50,000 บาท เมื่อหักภาษีแล้ว เหลือเพียง 40,000 กว่าบาทเท่านั้น บางทีเก็บค่าเช่าได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
พระครูโอภาสธรรมทัศน์ เล่าว่า หลวงพ่อบอกกับอาตมาว่า เมื่อขายที่ดิน 2 แปลงนี้แล้ว จะให้มูลนิธิมหามงกุฎฯ นำเงินที่ได้ไปฝากธนาคาร เพื่อเก็บกินดอกเบี้ย สมัยก่อนวัดได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากถึงเดือนละ 1 ล้านบาท ปัจจุบันทางวัดได้ดอกเบี้ยเพียงเดือนละไม่กี่สตางค์ เนื่องจากดอกเบี้ยเงินฝากปัจจุบันลดลง เงินที่ได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก ทางวัดได้นำมาพัฒนาสร้างวัตถุถาวรบำรุงพระพุทธศาสนา บำรุงการศึกษาของพระ และปรับปรุงพัฒนาวัดตามที่โยมเห็นอยู่
***"ก่อนผาติกรรม ทุกคนบอกว่าถูกต้อง ถูกกฎหมาย แต่เวลาผ่านไป กลับออกมาบอกว่าการผาติกรรมครั้งนั้นไม่ถูกกฎหมาย จะให้อาตมาทำอย่างไร...?"***
"อาตมาเห็นว่า ทุกฝ่ายไม่ควรนำการผาติกรรม ที่ดินธรณีสงฆ์ทั้ง 2 แปลงนั้น มาเป็นประเด็นแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ร่วมกันหาข้อยุติ และไม่ควรคุ้ยเขี่ยเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะกระทบต่อพระพุทธศาสนา"
การหยิบยกที่ธรณีสงฆ์ ขึ้นมาเป็นเกมต่อรองทางการเมืองครั้งนี้ ส่งผลให้ ญาติธรรมที่วัดธรรมิการาม ฯ แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้นำที่ดินกลับคืนมา ขณะที่อีกฝ่ายต้องการให้เรื่องยุติ ส่วนลูกหลานตระกูล "ชำนาญชาติศักดา" บอกกับ พระครูโอภาสธรรมทัศน์ว่า เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยปะละเลยเพราะเป็นผลประโยชน์ของวัด
"ขณะนี้ เรื่องทางโลก ก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว อาตมาเองก็ไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ เมื่อดำเนินการผาติกรรม ตามความประสงค์ของหลวงพ่อ ก็อยากให้เรื่องที่ท่านดำเนินการไปแล้วนั้นจบลง"
จากคุณ : ลอร์ดแชมป์ เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53
จากคุณ |
:
คือ.........ฉันเอง
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ม.ค. 53 14:44:53
A:58.9.132.73 X:
|
|
|
|
 |