 |
ความคิดเห็นที่ 20 |
นายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอสกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการตรวจสอบบริษัท ทีโอที ส่งรายงาน คตส.ว่าการแก้ไขสัญญาเอไอเอสครั้งที่ 6 ทำให้ทีโอทีได้รับส่วนแบ่งรายได้ลดลง 32,335.89 ล้านบาทว่าเป็นการมองมิติเดียวและเป็นการให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนเนื่องจากตามรายงานระบุว่าการแก้ไขสัญญา ในครั้งที่ 6 เป็นการแก้ไขผลตอบแทนจากการให้บริการระบบพรีเพดเหลือ 20% จากในสัญญาหลักกำหนดไว้ 25-30% ทำให้ทีโอทีได้รับส่วนแบ่งรายได้ลดลงตั้งแต่ปีที่ 11 ของสัญญา (ต.ค. 2541) ถึงปีที่ 16 (2549) จำนวนรวม 32,335.89 ล้านบาท แต่หากพิจารณาถึงเหตุผลในขณะนั้นการแก้ไขส่วนแบ่งรายได้ในระบบพรีเพดเกิดขึ้นเพราะทีโอทีได้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ของดีแทคจากที่เคยต้องจ่ายเลขหมายละ 200 บาทต่อเดือนให้ทีโอทีมาเป็น 18% ของรายได้ (ค่าแอ็กเซสชาร์จ) ไม่ว่าจะเรียกว่าเป็นค่าแอ็กเซสชาร์จ หรือเรียกค่าธรรมเนียมอะไรก็ตาม ในมุมของเอไอเอสมันคือส่วนแบ่งรายได้ เป็นต้นทุนที่ลดลงของดีแทคในการจ่ายให้ทีโอที นอกจากนี้ หากใช้วิธีคิดเดียวกับที่ทีโอทีทำรายงานเสนอ คตส. ในมุมเอไอเอสก็สามารถพูดได้ว่าข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 ข้อ 7 (การลดราคาให้ประชาชน) ก็ทำให้เอไอเอสมีรายได้ลดลงจากการแก้ไขสัญญาตั้งแต่ปีที่ 11 ของสัญญา (ต.ค.2543) จนถึงปีที่ 16 ของสัญญาคือ ก.ย.2549 รวมมูลค่า 2.74 แสนล้านบาท (274,408,361,398 บาท) รายได้ที่ลดลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการลดราคาให้ประชาชนเพราะข้อตกลงต่อท้ายสัญญากำหนดให้เอไอเอสต้องนำส่วนต่างของส่วนแบ่งรายได้ระบบพรีเพดที่ลดเหลือ 20% เมื่อเทียบกับอัตราส่วนแบ่งรายได้แบบรายเดือน (โพสต์เพด) ไปลดราคาค่าบริการระบบพรีเพดให้ประชาชน โดยกำหนดในปีที่ 11-15 (2544-2548) ในอัตราเฉลี่ยรวมไม่ต่ำกว่า 5% (ส่วนแบ่งรายได้แบบโพสต์เพด 25% แบบพรีเพด 20%) และในปีที่ 16-25 (2549-2558) เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% (ส่วนแบ่งรายได้แบบโพสต์เพด 30% แบบพรีเพด 20%) แต่ในความเป็นจริงเอไอเอสได้ลดค่าบริการลงมากกว่าที่สัญญากำหนด เพื่อให้ฐานลูกค้าขยายตัวออกไป และได้ใช้ในราคาที่ถูกลง คือเอไอเอสลดราคาค่าบริการต่อนาที (Rate per minute) ลงทันที 10% ในปีที่ 11 ของสัญญา และในปี 12 ลดลงอีกในอัตรา 24%, ปีที่ 13 ลดลงอีก 35%, ปีที่ 14 ลดลง 52%, ปีที่ 15 ลดลง 56% และปีที่ 16 ลดลง 71% หรือกล่าวได้ว่าจากราคา Rate per minute ในปี 2543 อัตรา 5.40 บาท ต่อนาทีที่เก็บจากลูกค้าจริงก็ ลดลงเหลือเพียง นาทีละ 1.31 บาทเท่านั้นในปีที่ 16 ของสัญญาทั้งๆ ที่ตามสัญญาระบุว่าเอไอเอสต้องลดราคาลง ไม่น้อยกว่า 5% ในปีที่ 11-15 และปีที่ 16 ต้องเริ่มลดไม่น้อยกว่า 10% เท่านั้น (ตารางประกอบ) เอไอเอสลดราคา Rate per minute หรือค่าบริการต่อนาทีมากกว่าสัญญากำหนดไว้ด้วยซ้ำ หมายถึงเอไอเอสมีรายได้น้อยกว่าที่ควรจะได้หรือสะท้อนกลับได้ว่าส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอทีก็น้อยลงเช่นกัน แต่เป็นเพราะการลดค่าบริการให้ประชาชน และการแก้ไขส่วนแบ่งรายได้เพื่อให้อุตสาหกรรมและตลาดพรีเพดขยายตัวได้มากเหมือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากพิจารณาแบบหัวสี่เหลี่ยมหรือยืนตามตัวหนังสือตั้งแต่ปีที่ 11-16 ของสัญญา เอไอเอสควรมีรายได้ตามสัญญาที่แก้ไขรวม 4.86 แสนล้านบาท(486,136,389,673 บาท) แต่เอไอเอสกลับลดราคาค่าบริการต่อนาทีให้ลูกค้าถึง 2.74 แสนล้านบาท (274,408,361,398 บาท) หรือทำให้รายได้ที่เอไอเอสได้รับรวม 6 ปีของสัญญาที่ผ่านมายังน้อยกว่าค่าบริการที่ปรับลดลงให้ลูกค้าด้วยซ้ำ รายงานที่ทีโอทีส่งให้เป็นการตั้งโจทย์โดย คตส.ซึ่งทีโอทีก็คิดมิติเดียวว่าลดเท่าไหร่ก็ไปคูณกับอายุสัญญาเท่านั้น โดยที่ความเป็นจริงมันมีหลายมิติเพราะหากไม่ลดให้ดีแทคก่อน ตลาดพรีเพดก็ไม่โตขนาดนี้ ส่วนแบ่งรายได้ของทีโอทีก็ไม่ได้มหาศาลเหมือนทุกวันนี้
จากคุณ |
:
วิหคเหิรฟ้า
|
เขียนเมื่อ |
:
3 ก.พ. 53 11:56:58
A:118.172.237.193 X:
|
|
|
|
 |