 |
ความคิดเห็นที่ 1 |
ก็แล้ว รับจ้าง กลายเป็น ลูกจ้าง ตามกฎหมายไปได้อย่างไร?
คำตอบก็คือ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้พจนานุกรมแทนที่จะใช้กฎหมาย และความจริงก็มีตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงความเป็นสองมาตรฐานแล้ว คือกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเองบางคนไปสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยบ้าง หรือไปจัดรายการทางวิทยุบ้าง ถ้าตีความอย่างเคร่งครัดหรือใช้มาตรการอย่างเข้มตามคำของท่านอธิการ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหล่านั้นก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกันไปแล้ว ไม่ต้องรอให้อภิสิทธิ์ไปทำกับข้าวออกทีวีเสียก่อนแล้วดูการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจึงจะรู้ว่าสองมาตรฐานหรือไม่
เรื่องนี้นอกจากจะขัดหลักนิติธรรมแล้ว ระบบตามรัฐธรรมนูญและการตีความตามใจชอบยังมีผลเท่ากับการที่คนเพียงไม่กี่คนสามารถหักล้างอำนาจการตัดสินของประชาชนทั่วประเทศด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องและขาดน้ำหนักอย่างยิ่งได้อีกด้วย
รัฐบาลสมชายนั้นล้มไปเพราะพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ถูกยุบเนื่องจากกกต.เชื่อว่ากรรมการบริหารคนหนึ่งทำผิดกฎหมายเลือกตั้งและต่อมาได้รับใบแดง
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันระบุว่าเมื่อกรรมการบริหารเพียงแค่ปล่อยปละละเลยก็ต้องยุบทั้งพรรค แม้ว่ากรรมการบริหารคนอื่นจะไม่รู้เรื่องด้วยเลยก็ตาม และเมื่อยุบพรรคแล้ว กรรมการบริหารทั้งชุดก็ต้องถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งไปพร้อมกันด้วย
กติกาอย่างนี้ขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะเป็นการลงโทษหมู่คณะจากการกระทำของคนๆเดียว ไม่ต่างจากการประหารเจ็ดชั่วโคตรในอดีต
พรรคอื่นบางพรรคที่ถูกยุบไปแล้วเช่นพรรคชาติไทย ถูกยุบเพราะกกต.เชื่อว่าผู้สมัคร ซึ่งเป็นกรรมการบริหารเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการเลือกตั้งจึงให้ใบแดงไปเลย เมื่อเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าไม่มีอำนาจพิจารณาว่าทุจริตจริงหรือไม่ แต่เมื่อเป็นที่ยุติโดยกกต.แล้วว่าทุจริต ศาลรัฐธรรมนูญก็มีทางเดียว คือต้องให้ยุบพรรคชาติไทย และเพิกถอนสิทธิ์กรรมการบริหารทั้งชุด
ต่อมาผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการเลือกตั้งรายนั้นถูกดำเนินคดี จนถึงที่สุดแล้วปรากฏว่าสั่งไม่ฟ้อง ต้องคืนเงินให้เขาไป สรุปก็คือไม่มีใครทำผิดเลยแม้แต่คนเดียว แต่พรรคทั้งพรรคก็ถูกยุบไปแล้วอย่างง่ายดาย
ท่านอธิการบดีฯยืนยันว่าเรื่องการยุบพรรคไม่มีเรื่องสองมาตรฐาน โดยเฉพาะกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยแคลงใจในการทำงานของกกต.อยู่นั้น ท่านอธิการช่วยแก้ให้เสร็จสรรพว่า แล้วก็มีคนเรียกร้องว่า ทำไมยุบไปแล้ว 3 พรรค 4 พรรค แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ผมบอกว่านี้ครับว่า พรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ไม่ได้ทุจริตเลือกตั้ง ไม่มีกรรมการบริการพรรคไปทุจริตซื้อเสียง แต่ที่ร้องเรียนเป็นการใช้เงินจาก กกต.ผิดประเภท ซึ่งนั่นเกิดก่อนจะมีรัฐธรรมนูญ 2550 ประกาศใช้
คนที่กล้าแก้ต่างให้พรรคประชาธิปัตย์อย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ น่าจะต้องศึกษาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มาแล้วมากพอ แต่ก็แปลกที่ท่านอธิการบดีฯไม่ได้ให้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทั้งยังเบี่ยงเบนประเด็นอีกด้วย
เป็นความจริงที่ในคดี 258 ล้าน พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเลือกตั้งหรือซื้อเสียง แต่ขณะเดียวกันเรื่องที่ร้องเรียนก็ไม่ใช่มีเพียงเรื่องการใช้เงินจากกกต.ผิดประเภทอย่างที่ท่านอธิการบดีฯว่า เรื่องใหญ่ยังอยู่ที่เรื่องการปกปิดเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัทเอกชน ร่วมมือกับบริษัทเอกชนฉ้อโกงบริษัทมหาชน และได้ใช้เงินเหล่านั้นในการทำงานของพรรค รวมทั้งในการเลือกตั้ง
ที่บอกว่าเรื่องนี้เกิดก่อนรัฐธรรมนูญ 2550 ท่านอธิการต้องการอธิบายว่า เพราะฉะนั้นจะมาบอกว่ารัฐธรรมนูญ 2550 สองมาตรฐานไม่ได้
แต่เรื่องนี้ก็ยังมีปัญหาสองมาตรฐานอยู่นั่นเอง ไม่ใช่ปัญหาสองมาตรฐานที่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญ แต่เป็นปัญหาการปฏิบัติอย่างสองมาตรฐานขององค์กรตามรัฐธรรมนูญคือกกต.
คดี 258 ล้านนี้พิจารณากันมานานมาก ต่างจากการพิจารณาคดีของพรรคการเมืองอื่นที่ถูกยุบไปแล้ว ถึงเวลาลงมติ กลับมีมติส่งให้นายทะเบียนพรรคการเมือง และทำท่าว่าถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นให้ยกคำร้อง ก็อาจไม่ต้องกลับมาให้กกต.พิจารณาอีก
ที่เป็นตลกร้ายที่สุดก็คือ การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองขอใช้เวลาอ่านสำนวนอีกกว่า 3 เดือนก่อนจะเสนอความเห็นได้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเป็นคนเดียวที่ลงมติให้ยกคำร้องในฐานะประธานกกต.
ทำเหมือนกับคนทั้งประเทศไม่รู้ว่าประธานกกต.กับนายทะเบียนพรรคการเมืองคือคนๆเดียวกัน
เรื่องการชุมนุมทางการเมือง ที่ท่านอธิการบดีฯอธิบายว่า เรื่องนี้ก็ไม่มีสองมาตรฐานขึ้นอยู่กับว่าอัยการจะสั่งฟ้องช้าหรือเร็วเท่านั้น ดูเหมือนไม่ต้องใช้เวลาในการโต้แย้งอะไรมาก วิญญูชนทั้งหลายคงสามารถตัดสินได้อยู่แล้วว่า ความเห็นนี้ไม่อยู่กับร่องกับรอยเพียงใด น่าแปลกหน่อยก็ตรงที่ว่าทำไมกล้าถึงขนาดนั้น
ท่านอธิการบดีฯยังได้ตั้งคำถามที่ดูเหมือนจะต้องการวางตัวให้เป็นผู้อาวุโสไปด้วยอีกคนว่าเราจะรักษาประเทศนี้ให้ดีได้อย่างไร ประเทศไทยจะกลายเป็นเลบานอนหรือไม่ จะเกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ผู้ห่วงใยบ้านเมืองสมควรถาม แต่สำหรับผู้ที่ทำหน้าที่สร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร และแก้ต่างให้กับระบบที่เต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมและสองมาตรฐานแล้ว ท่านไม่ควรเป็นผู้ถามคำถามเหล่านี้เลย เพราะสิ่งที่ทำอยู่กำลังซ้ำเติมและเร่งให้ปัญหาที่ท่านถามถึงนั้นยิ่งแก้ยากขึ้นไปอีกเสียมากกว่า
ประเด็นที่ท่านอธิการบดีฯทิ้งท้าย ดูจะไม่ชัดเจนนักว่าต้องการอะไร แต่คิดว่ามีนัยสำคัญทีเดียว นั่นคือการอ้างถึงอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ที่เขียนบทความโดยใช้ชื่อนายเข้ม เย็นยิ่ง เรียกร้องในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองปี 2516 ว่า อาจารย์ป๋วยท่านเรียกร้องกติกาหมู่บ้าน เพื่อให้คนในหมู่บ้านยอมรับกติกาการอยู่ร่วมกัน
เหมือนกับจะอาศัยอาจารย์ป๋วยมาบอกว่าคนในประเทศนี้ วันนี้ ควรยอมรับกติกาของประเทศ คือรัฐธรรมนูญปัจจุบันและระบบกฎหมายอย่างที่เป็นอยู่ ทั้งๆที่อาจารย์ป๋วยเขียนจดหมายฉบับนั้นในขณะที่บ้านเมืองอยู่ใต้การปกครองของเผด็จการ ไม่มีรัฐธรรมนูญ ถ้าจะเอาข้อเรียกร้องของอาจารย์ป๋วยมาประยุกต์ใช้ในวันนี้ ที่ถูกแล้วควรตีความว่า บ้านเมืองทุกวันนี้ก็ไม่มีกติกาที่ดีสำหรับคนที่อยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างกติกาที่ดีขึ้นมาใหม่ คล้ายๆกับที่เคยมีการเรียกร้องกันมาในอดีตนั่นเอง
ประเด็นสุดท้ายของท่านอธิการนี้ คนอาจไม่ถือเป็นสาระอะไรมาก แต่ความจริงก็ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในอดีตกับปัจจุบันได้ดีทีเดียว
ที่สำคัญกว่านั้นการบิดเบือนทางความคิดและการทุจริตทางวาจาแบบนี้ กระทำโดยผู้ที่มีตำแหน่งฐานะอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยที่เคยโดดเด่นด้วยเกียรติภูมิอันสูงส่ง ว่าได้ยืนเคียงข้างความถูกต้องและเคียงบ่าเคียงไหล่ประชาชนตลอดมา
แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศกำลังมองเห็นและใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของสังคมอย่างถึงที่สุด และน่าตกใจที่ชุมชนมหาวิทยาลัยและวงการวิชาการ ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้
(ที่มา ประชาไท ,3 ม.ค. 2553)
จากคุณ |
:
จำปีเขียว
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ก.พ. 53 19:12:51
A:125.25.52.95 X:
|
|
|
|
 |