Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บทความพิเศษ โดย “จาตุรนต์ ฉายแสง”: วิพากษ์“การบิดเบือนทางความคิด”และ“วจีทุจริต”ของ“สุรพล”(อธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์)  

วิพากษ์“การบิดเบือนทางความคิด”และ“ทุจริตทางวาจา”ของ “อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”


จาตุรนต์ ฉายแสง
ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย

         เท่าที่ติดตามข่าวการอภิปรายของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ทราบว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปแล้วอย่างครึกครื้นพอสมควร ผมยังไม่มีโอกาสอ่านคำ วิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น แต่เมื่อได้อ่านประมวลเนื้อหาของการอภิปรายนั้นแล้ว ก็คิดว่าควรจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องนี้บ้าง บางทีการวิพากษ์วิจารณ์ความเห็นที่มีลักษณะสุดขั้วหรือแปลกๆ อาจจะทำให้สามารถเสนอความเห็นอะไรได้ดีกว่าตั้งประเด็นขึ้นเองก็ได้

นอกจากนี้เมื่อเร็วๆนี้ยังปรากฏว่ามีนักวิชาการระดับแนวหน้าอีกบางคน ที่เที่ยวไปตระเวนชี้แจงให้เหตุผลทำนองเดียวกันอยู่ในต่างประเทศ การโต้แย้งความคิดของท่านอธิการบดีฯน่าจะครอบคลุมถึงความเห็นของนักวิชาการพวกเดียวกันนั้นได้ด้วย


ท่านอธิการบดีฯถามว่า “คนที่บอกว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาจากการรัฐประหารของคมช.  แล้วรัฐธรรมนูญ 2540 ที่อ้างว่าดีที่สุดเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ไม่ได้มาจากคณะรสช.ที่มีการยึดอำนาจรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2532 หรือ”
 
คำตอบอย่างง่ายๆตรงไปตรงมาก็คือ ไม่ใช่เลย รัฐธรรมนูญ 2540 เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ที่ประชาชนพากันต่อต้านการสืบทอดอำนาจของรสช.ที่ยึดอำนาจเมื่อปี 2534 พร้อมเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย  และเมื่อการสืบทอดอำนาจของรสช.ต้องยุติลงแล้ว ก็มีการเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปการเมืองจนนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนี้ขึ้น รัฐธรรมนูญ 40 จึงไม่ได้มาจากการรัฐประหารของรสช. แต่เป็นผลิตผลของการต่อต้านการสืบทอดอำนาจเผด็จการของรสช. และเป็นผลของความพยายามทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยต่างหาก

ความจริงท่านอธิการบดีฯก็รู้ดีอยู่แก่ใจ และที่ถามก็คงไม่ได้ต้องการคำตอบ เพียงแต่ต้องการจะลดความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ให้มีค่าไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญที่เป็นผลโดยตรงของการรัฐประหารอย่างรัฐธรรมนูญปี 50 เท่านั้นเอง


ท่านอธิการบดีฯยังสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมนูญฉบับ50ด้วยการอวดอ้างว่า“ประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทยไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่ผ่านการทำประชามติ” พร้อมกับช่วยแก้ต่างข้อโจมตีให้ด้วยว่า  “แล้วที่บอกว่าประชาชนเขาโดนหลอก แต่นั่นก็เป็นเสียงประชาชนไม่ใช่หรือ”

ท่านอธิการบดีฯไม่ได้บอกด้วยว่าการลงประชามตินั้นทำกันไปในเงื่อนไขอย่างไร การลงประชามติที่ทำไปนั้น ทำไปโดยมีเงื่อนไขแกมบังคับประชาชนว่า ถ้าไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญนี้แล้ว คมช.อาจหยิบรัฐธรรมนูญฉบับไหนมาปรับแก้เอาตามใจอย่างไรก็ได้ ทั้งยังขู่ด้วยว่าจะทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนอออกไป บ้านเมืองไม่เข้าสู่ภาวะปกติ

นอกจากนั้นการชี้แจงเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนี้เกือบจะเป็นการชี้แจงฝ่ายเดียว ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเกือบไม่มีโอกาสชี้แจงโต้แย้งเลย ซ้ำยังมีกฎอัยการศึกคุมอยู่ในหลายสิบจังหวัดปิดกั้นการชี้แจงของผู้ที่ไม่เห็นด้วย ที่แย่ที่สุดก็คือ เมื่อร่างผ่านประชามติมาแล้ว ยังมีการเติมบทเฉพาะกาลกันอย่างสนุกสนาน จนทำให้รัฐธรรมนูญที่ใช้กันจริงๆมีเนื้อหาที่เลวร้ายหนักเข้าไปอีก ชนิดที่ต้องเรียกว่าเป็นคนละฉบับกับที่ไปถามความเห็นประชาชนก็ว่าได้

ประชามติที่ท่านอธิการบดีฯนำมาอวดอ้าง จะว่าไปก็เป็นเสียงประชาชนอย่างที่ท่านกล่าว เพียงแต่เป็นเสียงของประชาชนที่ถูกข่มขู่ บังคับ และหลอกลวงเสียมากกว่า จริงๆแล้วก็คือประชามติลวงโลกนั่นเอง


ท่านอธิการบดีฯยังได้ตั้งคำถามที่คมไม่แพ้ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งเลยที่เดียวที่ว่า “ท่านที่บอกว่ามีความคิดเป็นประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอำนาจทหารที่มาจากการทำรัฐประหาร ถ้าไม่ยอมรับรัฐประหาร ถามว่าเรายอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 หรือไม่”

ผมเองก็เพิ่งแสดงความเห็นไปว่าในประเทศไทยไม่เคยมี และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการรัฐประหารที่ดี พอท่านอธิการบดีฯพูดอย่างนี้ก็ทำให้คนคล้อยตามได้ง่ายทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นการรัฐประหารหรือไม่ คำตอบก็คือ เป็น

ถามต่อไปว่าเป็นการรัฐประหารที่ดีและก้าวหน้าหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าดี และก้าวหน้า

แล้วทำไมมีการรัฐประหารที่ดีและก้าวหน้าได้ล่ะ

คำตอบก็คือ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่มีกลไกและวิธีการในระบบที่จะเปลี่ยนแปลงสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยได้ การรัฐประหารจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นและก้าวหน้า อาจจะไม่ก้าวหน้าอย่างเต็มที่เพราะขาดการเข้าร่วมของประชาชน แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและก้าวหน้า


“แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ประเทศอยู่ในระบบที่เราอาจเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนและโดยสันติได้แล้ว การรัฐประหารจึงไม่ใช่สิ่งที่ดี หากแต่ได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประเทศนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า”

ที่ผมพูดว่าไม่มีรัฐประหารที่ดีในประเทศไทย จึงหมายถึงนับตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงหารปกครองแล้วเป็นต้นมา


ท่านอธิการบดีฯเองยังไม่ได้ไปไกลถึงขั้นที่บอกว่า จริงๆแล้วท่านก็ไม่ได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 2475 แต่ท่านตั้งคำถามนี้เพื่อวัตถุประสงค์ 2 อย่าง

หนึ่งคือ ลดความชอบธรรมของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้มีฐานะเท่าๆกับการรัฐประหารทั้งหลายที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา

         สองคือ ท่านพยายามสร้างความชอบธรรมและการยอมรับให้กับการรัฐประหารโดยทั่วไป โดยเฉพาะครั้งที่ผ่านมา และแน่นอนย่อมรวมถึงการรัฐประหารที่อาจจะมีขึ้นในวันข้างหน้าอีกด้วย


         การแสดงความเห็นที่ผ่านๆมาของท่านก็นับว่าชัดเจนมากแล้วว่าท่านคิดอย่างไรกับการรัฐประหาร แต่ก็ยังใช้สำนวนโวหารให้ดูแนบเนียนอยู่บ้าง แต่คราวนี้ท่านเปิดเผยตรงไปตรงมาที่สุดว่า ท่านเลือกที่จะแก้ต่างและพร้อมที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับการการรัฐประหารเลยทีเดียว


ปัญหาการมีที่มาที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลปัจจุบัน ท่านอธิการอธิบายว่า “ถ้ารัฐบาลนี้มาจากรัฐประหาร  ผมก็ถามว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นรัฐบาลต่อจากรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ผมถามว่ารัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชายมาจากไหน ตอนนี้เรามักข้ามบางเรื่องไปเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง”

ความจริงถ้ามองแบบผิวเผิน ก็อาจพูดได้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์กับรัฐบาลสมชายและรัฐบาลสมัครต่างก็มาจากสภาชุดปัจจุบันเหมือนกัน


        แต่ทำไมจึงว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีที่มาที่ไม่ชอบธรรม ?

         ในการเลือกตั้งเมื่อ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ นั้น ประชาชนไม่ได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์มาเป็นรัฐบาล แต่เลือกพรรคพลังประชาชน การที่พรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นรัฐบาลขึ้นมาได้ก็เพราะมีการล้มรัฐบาลก่อนหน้านั้นไปถึง ๒ รัฐบาล โดยอาศัยรัฐธรรมนูญและกลไกตามรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและขัดต่อหลักนิติธรรม ทั้งในการตั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยังมีผู้มีอำนาจและผู้นำกองทัพเข้ามาก้าวก่ายแทรกแซง ดังเป็นที่ทราบทั่วกันว่ารัฐบาลนี้ตั้งขึ้นในค่ายทหาร

ที่ว่ารัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายถูกล้มไปโดยรัฐธรรมนูญและกลไกตามรัฐธรรมนูญนั้น พอดีเป็นประเด็นที่ท่านอธิการบดีฯก็ได้มาแก้ต่างให้ ทั้งในเรื่องการปลดนายสมัครออกจากนายกฯและการยุบพรรคพลังประชาชน จึงควรมาดูประเด็นทั้งสองนี้กัน


ท่านอธิการบดีฯพยายามจะอธิบายว่าไม่มีเรื่องสองมาตรฐานโดยบอกว่า  “กรณีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีทำกับข้าว ต้องพ้นจากตำแหน่งได้ เป็นการจ้องหาเรื่องกันนี่ โดยส่วนตัวผมยอมรับว่าเซอร์ไพรซ์ ผมคิดว่านายสมัครแค่ ‘รับจ้าง’ ไม่ใช่ ‘ลูกจ้าง’ แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตีความอย่างเคร่งครัด โดยแวดวงกฎหมายกำลังรอดูว่าจะมีคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะตัดสิน  ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินอย่างไร ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นกรณีอื่นๆ หรือแม้แต่กรณีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องตัดสินอย่างเดิม ตรงนี้ผมกำลังรอคำวินิจฉัยที่สอง แต่ขณะนี้ยังเป็นมาตรฐานเดียว คือมาตรฐานอย่างเข้ม ในส่วนของนายสมัคร ยังไม่มีคดีอื่นให้เปรียบเทียบ ซึ่งผมกำลังรอดูคำตัดสินคดีอื่นอยู่เช่นกัน”

(ต่อ คห.1)

จากคุณ : จำปีเขียว
เขียนเมื่อ : 9 ก.พ. 53 19:12:17 A:125.25.52.95 X:




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com