Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
“บทความ”โดย“รองเลขาธิการ สนง.ศาลยุติธรรม”: “ความอิสระและเป็นกลาง”ของ“ศาลยุติธรรม”เป็นหลักการสำคัญของ“สังคมประชาธิปไตย”  

“ความอิสระ”ของ“ศาลยุติธรรม”


โดย สราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม


ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยซึ่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง  เว้นแต่คดีที่มีรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น  ทั้งนี้ศาลยุติธรรมจะต้องดำเนินการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 197 คือต้องเป็นไปโดยยุติธรรม  ตามรัฐธรรมนูญ  ตามกฎหมาย  และในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์

อย่างไรก็ดี  การจะพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปโดยยุติธรรมได้นั้น  ผู้พิพากษาต้องมีอิสระเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นไปโดยถูกต้อง  รวดเร็ว  และเป็นธรรม  และต้องไม่ถูกแทรกแซงการใช้อำนาจจากบุคคลหรือองค์กรใด  ซึ่งหลักความเป็นอิสระของผู้พิพากษานั้นมีการรับรองไว้ทั้งตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจกำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อให้มีการดุลและคานกัน  ทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถมีอำนาจในการให้คุณให้โทษฝ่ายตุลาการได้  ในการแต่งตั้ง  การพ้นจากตำแหน่ง  การเลื่อนตำแหน่ง  การเลื่อนเงินเดือน  และการลงโทษผู้พิพากษาจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม

นอกจากนี้ผู้พิพากษาต้องมีความเป็นกลาง  และสามารถใช้ดุลพินิจในการมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายได้อย่างเหมาะสม  โดยพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายและพยาน หลักฐานที่เกี่ยวข้อง  จากการรับรองหลักความเป็นอิสระของตุลาการ  เพื่อให้ผู้พิพากษาสามารถพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างเต็มที่นี้เอง  จึงเป็นหลักการสากลที่ว่าผู้พิพากษาได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการ (Judicial Immunity)

หลักความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการเป็นแนวคิดอันมีที่มาจากประเทศที่ใช้ระบบกฎหมาย  Common Law โดยมีรากฐานมาจากแนวคิดของประเทศอังกฤษ ที่ว่า “the King can do no wrong”  ซึ่งมีหลักการในการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มครองแก่พระมหากษัตริย์และ     ผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ เช่นตุลาการ  เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งทางการเมืองและตามกฎหมายใด ๆ  ไม่ว่าจะในฐานะส่วนพระองค์หรือ  ในฐานะประมุขของรัฐและไม่อาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้

จากแนวคิดดังกล่าวนี้เอง  ต่อมาจึงได้มีการพัฒนามาเป็นหลักความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการ  เพราะผู้พิพากษาถือเป็นบุคคลที่ใช้อำนาจตุลาการภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความคุ้มกันทางกฎหมายแก่ผู้พิพากษาหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาพิพากษาคดีจากการถูกดำเนินคดีในการใช้อำนาจทางตุลาการซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์  เพื่อให้ผู้พิพากษาสามารถพิจารณาคดีได้อย่างเป็นธรรม  โดยไม่จำต้องกังวลถึงภยันตรายที่อาจเกิดขึ้นนอกเหนือจากการกระทำตามอำนาจหน้าที่ของตน  ในขณะเดียวกันก็เพื่อปกป้องผู้พิพากษาจากการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายของผู้ที่อาจเสียประโยชน์จากคำพิพากษา

สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกา  ศาลฎีกาในสหรัฐอเมริกาในคดี  Randall v Brigham, 74 US (7 Wall.) 523 (1868)  ได้เคยมีคำพิพากษาในกรณีผู้พิพากษามีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตว่าความของทนายความ  ทนายความผู้นั้นจึงฟ้องผู้พิพากษา  

ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ทนายความไม่สามารถฟ้องผู้พิพากษาได้  เพราะผู้พิพากษาไม่ต้องรับผิดหากเป็นการใช้อำนาจทางตุลาการ   เว้นแต่ว่าการใช้อำนาจดังกล่าวจะเป็นการใช้อำนาจโดยทุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย

แม้ผู้พิพากษาจะได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การใช้อำนาจดังกล่าวจะไม่มีขอบเขตจำกัด  หรือไม่สามารถตรวจสอบความชอบธรรมได้  ผู้พิพากษาจึงไม่อาจใช้อำนาจได้ตามความพอใจของตน  

การตรวจสอบการใช้อำนาจทางตุลาการของผู้พิพากษาสามารถกระทำได้หลายวิธี  เช่น  การอุทธรณ์  ฎีกา  อันเป็นวิธีการตรวจสอบดุลพินิจในการรับฟ้องพยานหลักฐานและการทำคำพิพากษาโดยให้คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจคำพิพากษา  สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์  ฎีกาต่อศาลสูงซึ่งได้แก่  ศาลอุทธรณ์  และศาลฎีกา  ผู้มีหน้าที่กลั่นกรองคำพิพากษาของศาลล่างอีกชั้นหนึ่ง  อันเป็นสิทธิของคู่ความตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความเป็นต้น

นอกจากหลักการตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการตามลำดับชั้นศาลแล้ว  ผู้พิพากษาอาจถูกตรวจสอบการใช้อำนาจตุลาการได้หากผู้พิพากษาผู้นั้นได้กระทำความผิดวินัย  แต่องค์กรที่ทำหน้าที่พิจารณาเรื่องทางวินัยของผู้พิพากษานั้นมีรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนในมาตรา  220  ว่า ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม  (ก.ต.)  ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกา  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากศาลฎีกา  6  คน  ศาลอุทธรณ์  4  คน  ศาลชั้นต้น  2  คน  และกรรมการ  ผู้ทรงคุณวุฒซึ่งวุฒิสภาเลือกจากบุคคลที่ไม่เป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม  2  คน

ก.ต. จึงมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบผู้พิพากษาทางวินัย  โดยการให้ความเห็นชอบในการเลื่อนตำแหน่ง  การเลื่อนเงินเดือน  และการลงโทษผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม  และการให้ความเห็นชอบดังกล่าวของ ก.ต.  ต้องคำนึงถึงความรู้ความสามารถและพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลดังกล่าว

การได้รับความคุ้มกันจากการใช้อำนาจตุลาการนั้นมีขอบเขตจำกัด  ผู้พิพากษา  จะได้รับความคุ้มครองก็ต่อเมื่อได้กระทำภายในกรอบอำนาจหน้าที่ทางตุลาการของตนเท่านั้น  เว้นแต่ว่าการใช้อำนาจดังกล่าวจะเป็นการใช้อำนาจโดยทุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย  หากเป็นการกระทำนอกกรอบอำนาจหน้าที่  หรือเป็นการกระทำความผิดทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่  เช่น การเรียกรับสินบน  ผู้พิพากษาย่อมต้องรับผิดในการกระทำของตนโดยอาจถูกดำเนิน คดีอาญาได้  

ดังนั้น ความอิสระและเป็นกลางของศาลยุติธรรม  เป็นหลักการสำคัญของสังคมประชาธิปไตย    ที่จะนำมาซึ่งความปลอดภัยและมั่นคงในสังคม  ทั้งยังเป็นการเคารพหลักสิทธิมนุษยชนที่ให้สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมอีกด้วย      


(ที่มา มติชน , 15 มกราคม  2553)

จากคุณ : จำปีเขียว
เขียนเมื่อ : 10 ก.พ. 53 19:16:25 A:125.25.48.214 X:




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com