 |
มติชนรายงานศาลฎีกาฯยกฟ้อง8 จนท.ที่ดินคลองด่านจำเลยร่วม"วัฒนา อัศวเหม" เหตุอัยการฟ้องผิดศาลจนขาดอายุความ
|
|
อัยการฟ้องผิดศาลจนขาดอายุความ เหตุศาลฎีกาฯยกฟ้อง8 จนท.ที่ดินคดีคลองด่านจำเลยร่วม"วัฒนา อัศวเหม"
ยกฟ้องเจ้าหน้าที่ที่ดิน-ปลัดอำเภอ 8 ราย จำเลยร่วม"วัฒนา อัศวเหม"คดีคล่องด่าน เหตุคดีขาดอายุความ เผยอัยการสูงสุดทำสวนมติ ป.ป.ช.แยกไปฟ้องศาลอาญา แต่ไม่รับฟ้อง ทำให้เสียเวลาต้องย้อนกลับมาฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใหม่
กรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษา(เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2551)ให้จำคุก นายวัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 10 ปี(หลบหนีอยู่)ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบบังคับข่มขืนใจหรือจูงใจให้ราษฎรขายที่ดินให้และบีบบังคับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกเอกสารสิทธิที่ดินที่ได้กว้านซื้อไว้และขอออกเอกสารสิทธิ์ในนาม บริษัท ปาล์มบีช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด โดยร่วมกันดำเนินการออกโฉนดที่ดินบริเวณตำบลคลองด่าน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมิชอบ ในเขตพื้นที่สงวนหวงห้าม ทับที่สาธารณประโยชน์กว่า 1,900 ไร่และนำเอาหลักฐานสำหรับที่ดินแปลงอื่นมาอ้างในการออกโฉนดที่ดิน จนกระทั่งนำมาขายให้แก่กรมควบคุมมลพิษเพื่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านนั้น
ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2552 ว่า นอกจากนายวัฒนาที่เป็นผู้กระทำผิดแล้ว ยังมีผู้ถูกกล่าวหาว่า ร่วมกระทำผิดซึ่งเป็นอดีตปลัดอำเภอบางบ่อและอดีตเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลีทั้งหมด 8 รายซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติ(เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2550)ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพร้อมกับนายวัฒนา
แต่ปรากฏว่า อัยการสูงสุดกลับนำตัวนายวัฒนายื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดรงตำแหน่งทางการเมือง(เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2550) ขณะที่นำตัวเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมด 8 รายไปฟ้องต่อศาลอาญา แต่ศาลอาญาไม่รับฟ้องโดยให้เหตุผลว่า ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญา แต่อยู่ในเขตอำนาจของศาลฎีกาฯ เนื่องจากเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงนำตัวกลีบมาฟ้องต่อศาลฎีกาในปลายปี 2551
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2552 ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 8 คน(คดีหมายเลขแดงที่อม.11,12,13/2552)เนื่องจาก คดีขาดอายุความ
สำหรับเหตุผลในคำพิพากษามีใจความสรุปว่า จำเลยดำเนินการออกโฉนดที่ดินในคดีดังกล่าวฉบับสุดท้ายให้ให้แก่นายวัฒนากับพวกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2536 (หมดอายุความวันที่ 30 ธันวาคม 2551) ต่อมาอัยการฟ้องคดีนี้ต่อศาลฎีกาฯเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 โดยไม่ได้นำตัวจำเลยทั้งหมดมาศาลและจำเลยบางส่วนหลบหนี ขณะที่คดีดังกล่าวมีอายุความ15 ปี นับแต่วันออกโฉนดฉบับสุดท้าย ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาลภายใน 15 ปีนับแต่จำเลยกระทำความผิด
อย่างไรก็ตามแม้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 และข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของศาลฎีกาฯ พ.ศ. 2543 ข้อ 8 ซึ่งบัญญัติให้อำนาจโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ต้องนำตัวจำเลยมาส่งศาลในวันฟ้อง แต่การพิจารณาว่า คดีโจกท์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (ซึ่งบัญญัติว่า ในคดีอาญาถ้ามิได้ฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายในกำหนดดังต่อไปนี้ (15ปี สำหรับคดีนี้)นับแต่วันกระทำความผิด เป็นอันขาดอายุคความ)เป็นคนละกรณีกัน
คำพิพากษาระบุว่า การที่พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติเรื่องอายุความฟ้องคดีไว้โดยเฉพาะแล้ว จึงต้องใช้อายุความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 ซึ่งแสดงว่า ต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาล อายุความจึงจะหยุดนับ ในกรณีที่ยังไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาล แม้จะยื่นฟ้องแล้ว อายุความก็ยังเดินอยู่ต่อไปซึ่งจากข้อเท็จจริงตามฟ้องจำเลยแต่ละคนกระทำผิดใน วัน เวลาที่ต่างกัน ดังนั้นการที่โจทก์เพิ่งได้ตัวจำเลยบางส่วนมาศาลและจำเลยบางส่วนเพิ่งมามอบตัวในเดือนมกราคม 2552 หลังจากวันที่ 30 ธันวาคม 2551 จึงเป็นการล่วงพ้นระยะเวลา 15 ปี คดีจึงขาดอายุความ
คำพิพากษาระบุด้วยว่า แม้คดีดังกล่าวพนักงานอัยการจะได้ฟ้องจำเลยต่อศาลอาญามาก่อน ก็หามีผลทำให้การนับอายุความในคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เพราะการฟ้องหมายถึงการฟ้องคดีต่อศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเท่านั้น หาได้รวมถึงศาลอื่นซึ่งไม่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีด้วย
นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ และโฆษก ป.ป.ช.กล่าวว่า คดีดังกล่าว ป.ป.ช.มีมติให้ส่งให้อัยการสูงสุดฟ้องนายวัฒนาและเจ้าหน้าที่รัฐทั้งหมดต่อศาลฎีกาฯ เนื่องจากเป็นการกระทำผิดร่วมกัน แต่ไม่ทราบว่า ทำไมอัยการสูงสุดจึงแยกตัวเจ้าหน้าที่รัฐไปนำไปฟ้องต่อศาลอาญา แต่ศาลอาญาไม่รับฟ้องเพราะไม่อยู่ในเขตอำนาจซึ่งเท่าที่ทราบอัยการยังอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์อีก จนกระทั่งต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลฎีกาฯใหม่
สำหรับ จำเลยทั้ง 8 คนที่ศาลฎีกาฯยกฟ้องประกอบด้วย นายชวณัฐ หรือสุขุม โฉมจังหวัด อดีตนายช่างรังวัด ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายรังวัด สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี ,นายอริยะ สุกวรรณรัตน์ อดีตนายช่างรังวัด 5,นายพรชัย ดิสกุล อดีตนายช่างรังวัด 4 นายศุภโชค หรือวิชัย ฉ่างทองคำ หัวหน้างานหนังสือสำคัญ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี, นายเกรียงศักดิ์ ตัณฑะตะนัย อดีตปลัดอำเภอบางบ่อ สมุทรปราการ นายณรงค์ ยอดศิรจินดา อดีตกำนัน ต.คลองด่าน, นายสมมาตร ดลมินทร์ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี และนายคมชิต วิชญะเดชา หัวหน้าฝ่ายทะเบียน สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรปราการ สาขาบางพลี
(ที่มา มติชน , 29 ม.ค. 2552)
จากคุณ |
:
จำปีเขียว
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.พ. 53 17:20:13
A:125.27.52.238 X:
|
|
|
|  |