Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มาดูข้อสังเกต (อีก) บางประการต่อคำพิพากษายึดทรัพย์ของคุณใบตองแห้งกันว่าเขาเห็นอะไร  

ใบตองแห้งออนไลน์: ข้อสังเกต (อีก) บางประการต่อคำพิพากษายึดทรัพย์
http://www.prachatai.com/journal/2010/03/27925

1.ไม่สมควรกับทุจริต

ที่ผมเขียนไปแล้วคือการตั้งข้อสังเกตว่า คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้บอกว่าทักษิณทุจริต แต่บอกว่าพฤติกรรมของหน่วยงานของรัฐที่มีการกระทำที่เป็นประโยชน์ต่อชินคอร์ปฯ และบริษัทในเครือนั้น เป็นการเอื้อประโยชน์โดยไม่สมควร

จากนั้นก็ระบุว่า เหตุเกิดในขณะที่ทักษิณเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่แท้จริง และมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาหรือกำกับดูแลหน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน จึงมีมติว่าทักษิณมีส่วนเกี่ยวข้องและได้รับประโยชน์จากกรณีดังกล่าว ถือเป็น “ร่ำรวยผิดปกติ"

ส่วนที่ขาดหายไปคือการพิสูจน์ว่า ทักษิณได้สั่งการหรือมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับการเอื้อประโยชน์หรือเปล่า นั่นคือองค์ประกอบความผิดฐานทุจริต ที่มีโทษทั้งยึดทรัพย์และติดคุก

ที่ตอกย้ำเรื่องนี้ก็เพื่อบอกพวกฟังไม่ได้ศัพท์ คิดว่าศาลตัดสินว่าทักษิณทุจริต แล้วจะเอาอีกๆ ให้เอาเข้าคุก มันคนละคดีนะครับ ถ้าไปถึงเอาเข้าคุก คุณต้องไปหาพยานหลักฐานมาเพิ่มว่าทักษิณสั่งการ หรือแอบสั่งการ แม้ไม่ถึงขั้นใบเสร็จก็ต้องมีน้ำหนักมากพอ พูดง่ายๆว่า ไต่สวนใหม่หมดเพราะเป็นสิ่งที่ศาลนี้ไม่ได้ไต่สวน

เผลอๆ ถ้าไปฟ้องอย่างนั้นแล้วหาพยานหลักฐานไม่เจอว่า “ทุจริต” ก็จะกลับมางงกันใหญ่แบบคดีที่ดินรัชดา

กลับมาที่คำว่า “ไม่สมควร” กล่าวได้ว่าองค์คณะเสียงข้างมาก เห็นพ้องกับข้อกล่าวหาของ คตส. ซึ่งอันที่จริงก็เอามาจากคุณสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ทั้งดุ้นนั่นแหละ (ใครที่ดีอกดีใจกับผลคดียึดทรัพย์ครั้งนี้ควรยกย่องชื่นชมคุณสมเกียรติให้มาก เพราะเป็นวีรบุรุษตัวจริง คตส.น่ะตัวก๊อป เพียงแต่เอาไปปรุงแต่งทางเทคนิคกฎหมาย)

และกล่าวได้ว่า คำพิพากษารวมทั้งกระแสของสื่อ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อย เห็นคล้อยตามว่ามีการ “เอื้อประโยชน์ที่ไม่สมควร” ซึ่งก็เป็นกระแสที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อเนื่องมาหลายปี และได้รับการประโคมอย่างหนักหลังรัฐประหารทั้งสื่อรัฐและสื่อกระแสหลัก

ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ ผมก็ยังเห็นว่า “ไม่สมควร” เช่นกัน (แต่แยกแยะบางกรณี)

เพียงแต่สิ่งที่สังคมไม่ได้ตั้งคำถามคือ คำว่า “ไม่สมควร” นี้เป็นเหตุเพียงพอ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง มีความชัดเจนทางกฎหมายเพียงพอที่จะนำไปสู่การลงโทษอาญาอย่างรุนแรงหรือไม่ (การยึดทรัพย์เทียบได้กับโทษอาญาอย่างรุนแรง เพราะโทษอาญามี 5 ประการคือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน)

คำว่า “ไม่สมควร” “ไม่เหมาะสม” ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในเบื้องต้นที่สุด ถือเป็นความผิดทางการเมือง เช่น ทำตัวหมดความชอบธรรมที่จะเป็นผู้นำอีกต่อไป จะต้องถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถูกสื่อ นักวิชาการ วิพากษ์วิจารณ์ และถูกประชาชนขับไล่

ถัดมาคือถ้าผิดข้อบังคับทางจริยธรรม ก็จะต้องถูกถอดถอน เปรียบเหมือนข้าราชการทำผิดวินัย บางกรณีอาจถูกเอาผิดทางอาญา แต่บางกรณีก็ไม่ อาจถูกลงโทษเพียงตัดเงินเดือน หรือให้ออก

เพราะการลงโทษทางอาญา มันจะต้องเป็นความผิดที่มีความชัดเจนในอีกระดับหนึ่งและต้องมีการพิสูจน์ให้ประจักษ์ในอีกระดับหนึ่ง ...ใช่หรือไม่

เรื่องนี้ต้องฝากประเด็นให้นักนิติศาสตร์ถกกัน ผมไม่มีความรู้พอ ผมเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตตามสามัญสำนึก ว่าการยึดทรัพย์ที่ผ่านมา กรณีสฤษดิ์ ถนอม ประภาส ใช้ ม.17 ไม่ใช่อำนาจศาล ขณะที่การยึดทรัพย์ของศาล ตั้งแต่ พล.อ.ชำนาญมาถึงรักเกียรติ ศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานทุจริตด้วย ทั้งยึดทรัพย์ทั้งติดคุก แล้วก็ยึดเฉพาะส่วนที่ระบุชัดเจนว่าได้ไปจากการทุจริต หรือได้ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ตัวเลขจะชัดเจน)

ย้อนกลับมาที่ความ “ไม่สมควร” ผมเองก็เห็นว่าพฤติกรรมของทักษิณไม่สมควร แต่มันจะใช่ “เอื้อประโยชน์โดยไม่สมควร” หรือเปล่า ผมยังแยกแยะเป็นกรณี

คือต้องบอกว่าผมเองก็คัดค้านทักษิณมาก่อนในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ก่อนนี้ไม่ใช่แค่รู้สึกว่า 5 ประเด็นนี้มันไม่สมควร แต่รู้สึกว่า “น่าเกลียด” ด้วยซ้ำไป เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมเห็นการจัดการบางเรื่อง เช่นการยกเลิก พรก.ภาษีสรรพสามิต ซึ่งกลับเป็นว่า “รัฐ” เสียประโยชน์ ถูกรัฐวิสาหกิจดึงกลับไป “ดูดไอติม” ผมก็ฉุกใจคิดและกลับมาทบทวนใหม่ ไล่เรียงเปรียบเทียบเหตุผลทั้งสองฝ่าย แล้วก็พบว่าความจริงข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ พรก.ภาษีสรรพสามิตไม่ได้ทำให้การส่งเงินเข้ารัฐลดลง แต่ยกเลิกแล้ว การส่งเงินเข้ารัฐกลับหดหายไป (ตลกร้ายคือ ยึดทรัพย์ทักษิณ 4.6 หมื่นล้าน รวมดอกเบี้ย น่าจะชดเชยได้พอดีกับภาษีสรรพสามิตที่ขาดหายไปปีละ 1.6 หมื่นล้านหลังยกเลิก พรก.มา 3 ปี)

สิ่งที่ผมกลับมาทบทวนคือ ผมเริ่มมองต่างมุมว่าข้อกล่าวหา 5 ประเด็น ไม่ได้แยกแยะการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐ ซึ่งมัน “ทับซ้อน” อยู่ พูดง่ายๆ คือเราต้องเปรียบเทียบว่า สมมติทักษิณไม่ได้เล่นการเมือง รัฐบาลไหนก็แล้วแต่ จะตัดสินใจอย่างนี้หรือไม่ สมมติเช่นคุณจะเอา ทศท. กสท.เข้าตลาดหุ้น คุณจะแยกภาษีสรรพสามิตหรือไม่ สมมติเช่น ดาวเทียมไอพีสตาร์ รัฐบาลอื่นจะส่งเสริมการลงทุนหรือไม่ (โอเค มันอาจจะไม่ซิกแซ็กอย่างนี้) การแก้สัญญาสัมปทาน มันมีเฉพาะเอไอเอสหรือ ขิงแก่ยังแก้ให้โทลล์เวย์ขึ้นราคาหน้าตาเฉยประชาชนเดือดร้อน ขณะที่ก่อนแก้ให้เอไอเอส ทักษิณก็แก้ให้ดีแทคด้วย (แผนร้าย?)

เราอาจจะต้องมองจากอีกฐานความคิดหนึ่ง ไม่ใช่มองแต่ว่าได้ประโยชน์แล้วคือเอื้อประโยชน์โดยมิชอบเสมอไป

ที่พูดนี้ไม่ได้ตะแบงว่าทักษิณทำถูก ผมก็บอกว่าไม่สมควรไง บางเรื่องอาจใช่ “เอื้อประโยชน์โดยไม่สมควร” แต่บางเรื่องอาจไม่ใช่ บางเรื่องมันอาจเป็น “เอื้อประโยชน์โดยปกติ” โดยการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐแต่พฤติกรรมไม่สมควร เราจะแยกแยะอย่างไร

ซึ่งเมื่อคำพิพากษา(โดยสรุป)ออกมา ผมก็ยังไม่เห็นการแยกแยะ ผมยังอยากรออ่านคำวินิจฉัยฉบับเต็ม และคำวินิจฉัยส่วนตน ว่าเมื่อฝ่ายจำเลยโต้แย้งให้เหตุผลอีกด้านแล้ว ศาลท่านหักล้างอย่างไร สมมติเช่น จำเลยโต้แย้งว่า พรก.ภาษีสรรพสามิตไม่ได้ทำให้เสียหาย ผู้รับสัมปทานทั้ง 3 เอไอเอส ดีแทค ทรู ยังส่งเงินเท่าเดิม ศาลท่านหักล้างอย่างไร

ซึ่งไม่ใช่แต่ในศาล ผมอยากเห็นการหักล้างกันอย่างมีเหตุผลและแยกแยะ ในสังคมวงกว้าง เพราะมันส่งผลกระทบต่อการก้าวเดินไปข้างหน้าของสังคมไทย

แต่โอเค เมื่อศาลท่านเลือกที่จะเห็นพ้องกับข้อกล่าวหาของ คตส. (และคุณสมเกียรติ) ทุกประการ ก็เป็นอำนาจของท่านที่จะวินิจฉัย ประเด็นของผมไม่ได้อยู่ตรงนี้

ประเด็นของผมคือเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความเห็นต่างเยอะ คำวินิจฉัยของศาลจึงเป็นข้อยุติในทางคดี แต่ไม่เป็นข้อยุติทางสังคม ไม่เป็นข้อยุติของความขัดแย้งทางความคิดเห็น ซึ่งก็จะยังคงแตกต่างกันต่อไป ไม่ใช่แค่ 2 ความเห็น แต่อาจจะเป็น 3-4-5 ความเห็น

ซึ่งจะต่างกัน ถ้ามีคำพิพากษาว่า “ทุจริต” โดยมีพยานหลักฐานชัดเจน เช่น คดีรักเกียรติมีการโอนเงินเข้าบัญชี โยกไปโยกมา เหมือนคดีอาญามีหลักฐานมัดแน่น เช่นเขม่าดินปืนที่มือ ใครจะโต้แย้งก็ปากแข็งเต็มทีแล้วครับ (ยกเว้นตรวจด้วย GT200 แล้วบอกว่ามีสารระเบิด)

ฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ มันก็จะมีการโต้แย้งอยู่ดี สมมติเช่น ฝ่ายทักษิณเขาจะออกคำชี้แจงเหตุผลในการตัดสินใจทั้ง 5 ประเด็น ห้ามเขาไม่ได้นะครับ เหมือนที่ห้ามผมแย้งคุณสมเกียรติไม่ได้ หรือในเวลาต่อไป ก็อาจจะมีนักวิชาการคนอื่นๆ ทำวิจัยเรื่องภาษีสรรพสามิตใหม่ ออกมาโต้แย้งคุณสมเกียรติอีกก็ได้

นี่คือสิ่งที่ผมมองว่า คำพิพากษาไม่ได้ยุติความเห็นต่างในสังคม เหมือนหลายๆ คดีที่ผ่านมา

จากคุณ : JOPPER
เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 10:45:25 A:125.25.130.67 X:




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com