ความคิดเห็นที่ 1 |
2. ฐาน 4.6 หมื่นล้านอยู่ตรงไหน
เป็นคำถามครับ ไม่มีคำตอบ เพราะผมไม่เข้าใจในการที่ศาลตัดสินยึดทรัพย์ในส่วนที่เป็นมูลค่าหุ้นที่งอกเงยมาหลังทักษิณเป็นนายกฯ รวมทั้งเงินปันผล
ตอนแรกว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ แต่ไม่เห็นมีใครพูด (จะรบกันอย่างเดียว) ก็เลยขอพูดมั่ง
คือผมไม่เข้าใจการใช้เกณฑ์ เจาะเวลาหาอดีต เพราะมันไม่ค่อยจะสัมพันธ์กับ การเอื้อประโยชน์โดยไม่สมควร ทั้ง 5 ประเด็นที่ตัดสินไป
ถ้าศาลท่านใช้ตัวเลขที่คุณสฤณีคำนวณออกมา (2.2 หมื่นล้าน) แล้วไปหักออกจาก 7.6 หมื่นล้าน ผมยังจะเข้าใจได้ง่ายกว่า แต่อาจเป็นได้ว่า นี่ไม่ใช่คดีเรียกค่าเสียหาย ท่านเลยไม่คิดอย่างนั้น (และไม่ใช่คดีทุจริต จึงจะชักเอาทรัพย์สินส่วนที่ถูกตัดสินว่าทุจริตออกมาได้ชัดเจน)
คดีนี้เป็นคดี ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งถ้าคิดในมุมกลับ แล้ว ร่ำรวยปกติ ล่ะ มันจะอยู่แค่ไหน อยู่แค่ตอนที่ทักษิณยังไม่เล่นการเมืองหรือ
ต้องยอมรับว่าพอสรุปอย่างนี้แล้ว มันหาคำตอบได้ยากส์มากส์ เพราะแม้ยึดตามคุณสฤณี มันก็ยังขัดกับข้อโต้แย้งที่ว่า มูลค่าเพิ่มของหุ้นฯ ชินคอร์ปมันไม่ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของมูลค่าเพิ่มทั้งตลาดหุ้นจน ผิดปกติ ถ้าทักษิณเอื้อประโยชน์ตัวเองโดยไม่สมควร มูลค่าเพิ่มของหุ้นชินคอร์ปฯ ก็น่าจะเพิ่มสูง ผิดปกติ กว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของตลาดหุ้น ราว 2.6 หมื่นล้านบาทอย่างที่คุณสฤณีคิด (แกล้งคิดเลขเล่นไปงั้น ความจริงมันคำนวณไม่ได้เลย)
ซึ่งพอศาลท่านกลับไปใช้มูลค่าหุ้นเมื่อปี 44 มันก็มีข้อโต้เถียงอีกว่า แล้วถ้าทักษิณไม่เป็นนายกฯ มูลค่าหุ้นจะไม่เพิ่มเลยหรือ หรือว่าคำตัดสินนี้มีลักษณะลง โทษปรับ ด้วย
สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ การตั้งเกณฑ์นี้มาใช้ยึดทรัพย์ มันเกี่ยวข้องยึดโยงในทางนิติศาสตร์ กับคำวินิจฉัยว่า เอื้อประโยชน์โดยไม่สมควร ทั้ง 5 ประเด็นอย่างไร
คิดง่ายๆ ด้วยตรรกแบบชาวบ้านๆ นะครับ สมมติศาลท่านวินิจฉัยว่า เอื้อประโยชน์โดยไม่สมควร แค่ 4 ประเด็น แต่อีกประเด็นไม่ใช่ล่ะ จะไป เจาะเวลาหาอดีต ที่ตรงไหน หรือสมมติวินิจฉัยว่า เอื้อประโยชน์โดยไม่สมควร 3 ประเด็น แต่อีก 2 ประเด็นไม่ใช่ล่ะ หรือสมมติ คตส.ฟ้องมาทั้งหมด 10 ประเด็นแล้ววินิจฉัยว่าไม่สมควรทั้ง 10 ประเด็นล่ะ จะต่างกันตรงไหน หรือไม่ว่ากี่ประเด็นก็ต้องยึดทรัพย์โดยเหลือไว้แค่มูลค่าปี 2544 อยู่ดี
งงครับ งง ไม่เข้าใจ ใครรู้ช่วยอธิบายที อาจต้องรออ่านคำวินิจฉัยโดยละเอียดว่า ต่อไปใครถูกศาลตัดสินว่าร่ำรวยผิดปกติ จะเกณฑ์นี้เป็นมาตรฐานหรือเปล่า คือเหลือแค่ทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อนเล่นการเมือง
3.คำพิพากษานี้ใช้ได้กับทุกคนหรือทักษิณคนเดียว
หะแรก ผมเรียกร้องว่ามาตรฐานนี้ต้องใช้กับทุกคน เพราะโดยหลักกฎหมาย คำพิพากษานี้ใช้ได้กับนักการเมืองทุกคนที่พฤติกรรมเข้าข่าย แต่พอมานั่งดูจริงๆ แล้ว ในทางปฏิบัติอาจมีผลกับทักษิณคนเดียว ยกเว้นคุณบัณฑูร ล่ำซำ หรือคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี จะมาเล่นการเมืองเป็นนายกฯ หรือเป็นรัฐมนตรีคลัง
เพราะข้อแรก ศาลวินิจฉัยว่าทักษิณเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง (อันที่จริงผมเห็นด้วยกับการใช้คำว่ามีอำนาจครอบงำมากกว่า คือหุ้นเป็นของลูก แต่ทักษิณเป็นผู้ครอบงำสั่งการ พอเป็นแบบนี้นู๋พิณทองทาเลยออกมาแย้งว่า ไหนว่าหุ้นของพ่อ ทำไมมาเรียกเก็บภาษีลูก)
ข้อสอง ศาลไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าทักษิณใช้อำนาจอย่างไร เพียงแต่บอกว่ามันเกิดการเอื้อประโยชน์กันอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็บอกว่าทักษิณเป็นผู้ถือหุ้นตัวจริง ทักษิณมีอำนาจบังคับบัญชากำกับดูแลหน่วยงานของรัฐ (ทุกหน่วยในประเทศไทย)
ฉะนั้น สมมติไม่ได้เป็นนายกฯ แต่เป็นรัฐมนตรี ได้รับการเอื้อประโยชน์ข้ามกระทรวง อย่างปู่จิ้นกับชิโนไทยที่ได้สัมปทานรถไฟฟ้า คุณก็จะเอาคำพิพากษานี้ไปใช้ทันทีไม่ได้ ศาลต้องวินิจฉัยเพิ่มว่าปู่จิ้นมีอำนาจโยงใยสั่งการอย่างไร (เสี่ยงเหมือนกันเพราะปู่จิ้นเป็นหัวหน้าพรรคของรัฐมนตรีคมนาคม)
หรือถ้าคุณจะกล่าวหาว่า การที่คุณหญิงกัลยาอยู่ในคณะรัฐมนตรี แล้วมีการเอื้อประโยชน์ให้แบงก์กรุงเทพจัดทำเช็คช่วยชาติ คุณก็จะเอาคำพิพากษานี้ไปใช้ทันทีไม่ได้ เพราะยังติดเงื่อนไข 2 ต่อ คือนอกจากจะข้ามกระทรวงแล้ว คุณหญิงกัลยายังไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง ไม่มีกระทั่งอำนาจครอบงำ เพียงแต่รู้กันทั้งโลกว่าเป็นสะใภ้โสภณพนิช
นอกจากนี้ คุณจะตั้งคำถามอย่างไรกับการที่คุณโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎร์ เป็นประธานแบงก์กรุงเทพ เข้ามาเป็นรองนายกฯ กำกับดูแลเศรษฐกิจ แล้วกลับไปเป็นประธานแบงก์กรุงเทพ เพราะคุณโฆษิตไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่เป็น ลูกจ้าง แหงๆ ไม่ต้องตีความตามพจนานุกรม
นอกจากนี้ คุณยังไม่สามารถเอาไปใช้ได้กับกรณีของ เขยซีพี ที่อยู่ในทั้งรัฐบาลทักษิณและอภิสิทธิ์
นอกจากนี้ ฯลฯ
ฉะนั้น การตีความกฎหมาย ปปช. ว่าด้วยความ ร่ำรวยผิดปกติ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในครั้งนี้ แม้ทางกฎหมายจะเป็นบรรทัดฐานใช้ได้กับทุกคน แต่ในความเป็นจริงแล้วใช้ได้กับทักษิณคนเดียว เพราะหลังจากนี้คงไม่มีใครโง่เซอะ เป็นนักธุรกิจใหญ่เจ้าของกิจการโอนหุ้นให้ลูกแล้วมาเป็นนายกฯ หรือเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่ตัวเองมีกิจการเกี่ยวข้องอยู่
คนอื่นๆ ก็คงจะต้องไปเข้าช่องปกติ คือพิสูจน์ว่านอกจากเอื้อประโยชน์แล้วได้กระทำทุจริตประพฤติมิชอบหรือไม่ ถ้าหาพยานหลักฐานได้ไม่ชัด ศาลท่านก็ต้องยกฟ้องแบบคดีกล้ายาง
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
ใบตองแห้ง
จากคุณ |
:
JOPPER
|
เขียนเมื่อ |
:
3 มี.ค. 53 10:45:45
A:125.25.130.67 X:
|
|
|
|