PANTIP.COM : P8976874 5 อาจารย์ มธ. ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล []

ความคิดเห็นที่ 9

ก็อปมาจาก เดลินิวส์ออนไลน์ 13 มค.53

* 5 อาจารย์นิติมธ.ค้านศาล

วันเดียวกัน กลุ่ม 5 อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบด้วย รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ รศ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช นายฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล นายธีระ สุธีวรางกูร นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้ออกบทวิเคราะห์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง กรณีขอให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นของแผ่นดิน มีใจความว่า ประเด็นที่ 1 ปัญหาในเรื่องความเป็นกลางนั้น ต้องพิจารณาว่า ต้นธารของกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้เริ่มต้นจากรัฐประหาร กระบวนการยุติธรรมในคดีนี้จึงเริ่มต้นจากความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน ทั้งยังมีเรื่องความเป็นกลางของ คตส.ที่ดำเนินการตรวจสอบ

ประเด็นที่ 2 ในการแปลงค่าสัมปทาน เป็นภาษีสรรพสามิต รัฐยังคงได้ประโยชน์เท่าเดิม เพียงแต่เงินรายได้ค่าสัมปทานให้แก่รัฐถูกแบ่งจ่ายเป็นสองส่วน กล่าวคือ จ่ายให้บริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจคู่สัญญา กับจ่ายให้กระทรวงการคลังโดยตรงในส่วนที่เหลือ ดังนั้นการที่บริษัททีโอที และบริษัท กสท.โทรคมนาคม มีรายได้ลดลง จะถือว่ารัฐเสียประโยชน์ไม่ได้ เพราะกระทรวงการคลังได้รับเงินส่วนหนึ่งจากค่าสัมปทานโดยตรงอยู่แล้ว และรัฐได้ประโยชน์ ยิ่งกว่าเดิม เพราะค่าสัมปทานนั้น เดิมบริษัทเอกชนชำระแก่คู่สัญญาเป็นรายปีหรือรายไตรมาส แต่การชำระเงินรายได้ร้อยละ 10 ให้แก่กระทรวงการคลังนั้น เป็นการชำระรายเดือน และเรื่องการบริหารงานกระทรวงการคลังสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพและให้เงินอุดหนุน ตามความเหมาะสมได้อยู่แล้ว

* แย้งเรื่องภาษีรัฐได้ครบ

ส่วนเรื่องอุปกรณ์เป็นทรัพย์สินที่บริษัทเอไอเอส ตกลงสร้างให้แก่รัฐโดยผ่านองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเดิม ดังนั้น การได้รับสิทธิในการใช้เครื่องและอุปกรณ์ดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผล สิทธิที่บริษัทเอไอเอสได้รับ เกิดจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทนทางธุรกิจจากการที่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ สินให้แก่รัฐ คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าเอไอเอสไม่ได้ผูกขาดกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่อย่างใด เพราะบริษัทเอไอเอสก็ มีคู่แข่งทางธุรกิจหลายราย และหาก ครม.ไม่มีมติให้นำภาษีสรรพสามิตหักออกจากค่าสัมปทาน ผลคือ บริษัทเอกชนย่อมมีสิทธิที่จะผลักภาระภาษีสรรพสามิตร้อยละ 10 ไปให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์ มือถือ การดำเนินการดังกล่าวโดยคณะรัฐมนตรี จึงมีลักษณะเป็นมาตรการชั่วคราว มิให้เกิดผลกระทบต่อราคาค่าบริการ

ประเด็นที่ 3 การตรา พ.ร.ก.เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตทั้งสองฉบับ มีลักษณะเป็นการกีดกันผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ เรื่องนี้เป็นการแข่งขันทางธุรกิจที่รายใหม่จะต้องค่อย ๆ สร้างฐานลูกค้าของตนเอง ในส่วนที่ว่าหาก ครม. เห็นชอบให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตในอัตราสูงถึงร้อยละ 25 ก็จะทำให้บริษัททีโอทีต้องนำค่าสัมปทานที่ได้รับจากเอไอเอสไปชำระให้แก่กรมสรรพสามิตทั้งหมด ทำให้บริษัททีโอทีเสียหายนั้น คณาจารย์ทั้งห้า เห็นว่ารัฐไม่ได้สูญเสียรายได้ ซึ่งการคาดการณ์เรื่องอัตราภาษีก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง อีกทั้ง พ.ร.ก. ว่าด้วยภาษีสรรพสามิตทั้งสองฉบับ ศาลรัฐธรรม นูญได้วินิจฉัยแล้วว่าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึง ถือเป็นอันยุติสำหรับการควบคุมความชอบ อีกทั้งยังไม่พบว่ากฎหมายที่มีอยู่นี้จะเป็นอุปสรรคกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาด

* แก้พรีเพด-โรมมิ่งค่าโทรฯถูก

ประเด็นที่ 4 ในส่วนของการแก้ไขสัญญาปรับลดส่วนแบ่งรายได้แบบพรีเพด ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เอไอเอสได้ปรับลดค่าใช้บริการให้แก่ผู้ใช้บริการมากกว่าอัตราที่กำหนดในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม จึงเกิดประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ใช้บริการ ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มเติมขึ้น ทศท.มีรายได้เพิ่มมากขึ้น คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่าการปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้เป็นทางเลือกของบริษัททีโอที ที่สืบเนื่องมาจากโครงสร้างที่บกพร่องที่ภาครัฐกำหนดขึ้น จึงถือไม่ได้ว่ามีการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอสโดยไม่ชอบ

ประเด็นที่ 5 การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายรวม หรือโรมมิ่ง กสท. บริษัททีโอทีซึ่งมีหน้าที่หาคลื่นความถี่ตามสัญญาสัมปทานให้บริษัทเอไอเอสไม่สามารถหาย่านคลื่นความถี่ใดมาใช้ให้เพียงพอ บริษัทเอไอเอสจึงต้องร่วมใช้โครงข่ายโทรคมนาคมที่บริษัทดีพีซีบริหารงานอยู่ เรื่องของการโรมมิ่งจึงเป็นเรื่องปกติวิสัย กรณีดังกล่าวเป็นทางเลือกทางธุรกิจที่เป็นผลดียังเกิดแก่ประชาชน และยังเป็นผลดีต่อประเทศ ในแง่การที่ไม่ต้องมีการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซ้ำซ้อน ส่งผลต่อค่าใช้บริการที่จะต้องสูงขึ้น ดังนั้น คณาจารย์ทั้งห้า จึงไม่เห็นด้วยที่ว่ากรณีนี้ทำความเสียหายให้แก่ ทศท.

* ไม่ล้ำเส้นใช้ดาวเทียมสำรอง

ประเด็นที่ 6 การละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนกิจการดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ในการจัดให้มีระบบดาวเทียมสำรอง สัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยพบว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้กำหนดคุณสมบัติเฉพาะของดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองตั้งแต่ดวงที่สองไว้ ในกรณีของดาวเทียมไอพีสตาร์นั้น บริษัทผู้รับสัมปทานมุ่งจะให้เป็นดาวเทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 เพียงแต่ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้สูงขึ้น จึงเห็นว่าบริษัทผู้รับสัมปทานได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาแล้ว

การมีดาวเทียมสำรองที่มีคุณสมบัติทางเทคนิคที่พัฒนาขึ้นใหม่ดีกว่าดาวเทียมหลักย่อมเป็นผลดีต่อการจัดทำบริการสาธารณะที่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่าดาวเทียม ไอพีสตาร์ไม่ถือว่าเป็นดาว เทียมสำรองของดาวเทียมไทยคม 3 ได้ด้วยเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน แต่เป็นดาวเทียมหลักดวงใหม่นั้น คณาจารย์ทั้งห้าไม่เห็นด้วย เนื่องจากในสัญญาไม่มีที่ใดเลยที่ระบุให้ดาวเทียมสำรองต้องใช้เทคโนโลยีเดียวกับดาวเทียมหลัก

* โต้ประเด็นคลื่นสัญญาณ

นอกจากนี้ ที่เห็นว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่มีย่านความถี่ซี-แบนที่จะให้กระทรวงคมนาคมใช้จำนวน 1 วงจรดาวเทียมตามสัญญา เมื่อพิจารณาจากข้อมูลทางเทคนิคแล้วจะเห็นได้ว่า ดาวเทียมไอพีสตาร์สามารถรองรับความถี่ซี-แบนได้ แต่ต้องมีสถานีสัญญาณ และกรณีนี้ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงคมนาคมโต้แย้งว่า ไม่ได้ใช้วงจรดาวเทียมเพราะเหตุว่าดาวเทียมไอพีสตาร์ไม่มีย่านความถี่ซี-แบน อีกทั้งเรื่องการใช้ช่องสัญญาณต่างประเทศ ก็มีการระบุไว้ว่าต้องเหลือจากความต้องการใน ประเทศและกระทรวงคมนาคมเห็นชอบ ในความเป็นจริงไม่พบว่าช่องสัญญาณดาวเทียมขาดแคลน การที่บริษัทนำวงจรดาวเทียมที่ เหลือจากความต้องการในประเทศไปให้ประเทศ อื่นใช้โดยได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาฝ่ายรัฐ จึงชอบแล้ว

* ให้มองพม่าซื้อของก่อนกู้

ประเด็นที่ 7 การอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือเอกซิมแบงก์ คณาจารย์ทั้งห้าเห็นว่า การเจรจาแลกเปลี่ยนตอบแทน เป็นเรื่องชอบที่ฝ่ายบริหารจะทำได้ หากอยู่ในกรอบของกฎหมาย และเดิมพม่าเองก็ซื้อสินค้าจากบริษัทไทยคม มาก่อนได้เงินกู้ อีกทั้งเรื่องการเมืองของพม่าทำให้ไม่สามารถซื้อของจากประเทศอื่น ๆ ได้ เมื่อเคยซื้อกับรายใดก็จะซื้อกับรายนั้น กรณีจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยที่รัฐบาลพม่าจะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทไทยคมต่อไปอีก คณาจารย์ทั้งห้าจึงเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่พอ ที่จะฟังได้ว่าคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ อนุมัติเงินกู้ให้แก่รัฐบาลพม่าเพื่อให้รัฐบาลพม่าไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัทไทยคมโดยเฉพาะ

ประเด็นที่ 8 เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง ไม่มีข้อเท็จจริงใดแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ สั่งให้รัฐมนตรี หรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่กล่าวหา กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวพันโดยตรงก็คือกรณีเรื่องที่อนุมัตินั้นอยู่รูปของมติครม.เอื้อชินคอร์ป และไม่พบว่าการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา เพราะหากไม่อยู่ในรูปของ มติ ครม.ก็เป็นการสั่งการโดยรัฐมนตรีเจ้า กระทรวง หรือคณะกรรมการที่มีอำนาจตามกฎหมาย แต่ในทางกฎหมายก็ถือว่าครม.เป็นองค์กรกลุ่ม แยกออกต่างหากจากนายกฯ นายกฯก็มีคะแนนเสียงหนึ่งคะแนนเสียงเท่ากับรัฐมนตรีอื่น จึงไม่อาจถือว่าการกระทำของ ครม.ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เป็นการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้

* ไม่เห็นพ้องสั่ง “แม้ว” ผิด

แม้จะถือตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ในคดีนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ แต่การที่ศาลฎีกาถือว่า ประโยชน์ จากราคาหุ้นบริษัทชินคอร์ปส่วนที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำรงตำแหน่งนายกฯในวาระแรก คือวันที่ 7 ก.พ. 2544 เป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ แต่การได้ทรัพย์สิน ได้เกิดภายหลังในห้วงเวลาที่แตกต่างกันไป

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ในทางข้อเท็จจริง ที่จะถือว่าประโยชน์จากราคาหุ้นในส่วนที่เพิ่มขึ้นของบริษัทชินคอร์ป ได้เกิดขึ้นแล้วนับตั้งแต่วันแรกของการดำรงตำแหน่งนายกฯของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อศาลฎีกาฯไม่ได้วินิจฉัยแยกแยะว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำที่เป็นการเอื้อประโยชน์แต่ละกรณีเกิดขึ้นเมื่อใด แต่วินิจฉัยว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น เกิดขึ้นอย่างไม่สมควรนับตั้งแต่วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ และมีสาเหตุเพียงประการเดียว คือเกิดจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ คณาจารย์ทั้งห้าไม่อาจเห็นพ้องด้วยได้กับคำวินิจฉัยนี้.

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentID=53634

จากคุณ : Chandaiam

เขียนเมื่อ : 12 มี.ค. 53 13:56:15 A:118.172.80.65 X: