ความคิดเห็นที่ 1 |
|
Q : หลายคนสงสัยว่า เวลาที่คนส่วนน้อยทำให้คนส่วนมากเดือดร้อน เราจะมีวิธีคิดยังไงให้คนที่ส่วนมาก ไม่โกรธ ไม่เคียดแค้นจากการถูกละเมิดสิทธิส่วนตัว...?
A : อาตมาคิดว่า คนเมืองที่อยู่ในพื้นที่ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี เราไม่มีสิทที่จะไปโกรธคนที่เขาไม่รู้ เรามีหน้าที่ทำความเข้าใจว่า ทำไมคนไทยของเราถึงถูกปลุกปั่น ด้วยความเข้าใจเท่านั้นที่เราจะทำการเมืองได้อย่างสันติ คนจำนวนหนึ่งถูกปลูกปลูกปั่นให้โกรธเกรี้ยวกราด ใช้อารมณ์ของเขา มีแนวโน้มที่จะทำลายคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นเราอย่าไปใช้ อารมณ์ กับเขา เราต้องใช้ ปัญญา แล้วยึดหลักว่าด้วยปัญญาและความเข้าใจจะนำพาการเมืองไทยก้าวข้ามความรุนแรงไปได้ ถ้าเขาใช้อารมณ์ และเราก็ใช้อารมณ์ แน่นอนที่สุดก็จะกลายเป็นความรุนแรง
Q : เมื่อเจอความรุนแรงมา แต่กลับตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง ดังนั้นเราก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่เริ่มก่อความรุนแรง
A : พระพุทธองค์กล่าวว่าถ้าคนที่ทำให้เราโกรธและโกรธตอบ ทั้ง 2 คนนี้เลวพอกัน ดังนั้นถ้ามีประชาชนกลุ่มหนึ่งถูกปลุกปั่น เพื่อให้อารมณ์ในเมืองหลวง แล้วคนในเมืองหลวงก็ตอบโต้ด้วยความรุนแรงพอกัน ต่างฝ่ายก็จะทำให้ใครไม่ได้ดีไปกว่ากัน ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้อารมณ์ อีกฝ่ายก็ควรที่จะต้องใช้เหตุผล ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งคุกคาม อีกฝ่ายก็ควรจะใช้สันติวิธี ฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธ อีกฝ่ายต้องวางอาวุธ ฝ่ายหนึ่งเป็นไฟ อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเป็นน้ำ อีกฝ่ายใช้แบบกองโจร อีกฝ่ายต้องใช้มาตรการแบบอารยะ
พระพุทธองค์บอกว่า ต่อสู้ความชั่วด้วยความดี ต่อสู้ความโกรธด้วยความไม่โกรธ ต่อสู้ความตระหนี่ด้วยการให้ ต่อสู้ความเท็จด้วยความจริง นี่คือวิธีแบบพระพุทธศาสนา คือ จงเอาชนะความชั่วด้วยความดี
Q : กล่าวได้เต็มปากไหมว่าเหตุการณ์วันที่ 14 มี.ค.นี้ ถือมารทดสอบจิตใจคนไทยชั้นดี
A : ให้มองอย่างหนึ่งว่านี่คือวิกฤติและนี่คือการพิสูจน์ธรรมะของคนไทยที่ผ่านเข้ามา ที่จะพิสูจน์ว่า เรามีธรรมะกันจริงหรือเปล่า ถ้ามองแบบนี้แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่ดีมาก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่จะพิสูจน์บารมีธรรมของคนไทยทั้งชาติ
Q : ศาสนาอธิบายได้ไหมว่า อีกสักกี่ปีที่จะประเทศไทยจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
A : อาตมาคิดว่าภายใน 10 ปีนี้ความขัดแย้งจะสงบ แล้วหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่โหมดประชาธิปไตยที่เป็นอารยะได้ เท่าที่ดูเห็นว่าฐานอำนาจต่างๆ มันกำลังจัดผลประโยชน์ให้ลงตัว โดยเมืองไทยเองก็กำลังจะนำหลักนิติรัฐเข้ามานำประเทศชาติบ้านเมือง ทีนี้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่เคยอยู่ดีมีสุขเพราะกฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ พอวันหนึ่งกฎหมายมันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมามันก็ต้องดิ้นหนีให้พ้น ทำให้คนมองว่าในเมืองไทยกฎหมายไม่เคยศักดิ์สิทธิ์ พอมันมีผลขึ้นมาก็รับไม่ได้อันนี้เรื่องที่ 1 คือ ใช้หลักนิติธรรมให้มานำนิติรัฐ 2. เราพยายามที่จะเกลี่ยผลประโยชน์ให้ทุกกลุ่มที่จะรับได้ 3. ความพยายามที่จะลบช่องว่างระหว่างคนเมืองกับคนชนบท 4. มีความพยายามแปรรูปนโยบายของรัฐที่อยู่บนกระดาษให้เป็นความเป็นจริง 5. ไทยเองพยายามปรับตัวให้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์
อย่างไรก็ดี ถ้าเรื่องนี้สามารถบริหารจัดการได้ดีใน 10 ปีข้างหน้า ไทยจะดีเลย นี่เป็นแนวโน้มของการเมืองไทย นี่เป็นช่วงวิกฤติที่ทุกกลุ่มมาเจอกัน แต่ตอนนี้มันกำลังจะจัดระบบของมันอยู่อีก 10 ปีเห็นผล
Q : ถ้ามีคนถามพระอาจารย์ว่าวันนี้ยังก้ำๆ กึ่งๆ ชั่งใจว่าจะออกมาชุมนุมกันดีไหม ในทางพุทธศาสนาจะมีวิธีคิดแบบก้ำๆ กึ่งๆ อย่างไร
A : เราควรจะมุ่งไปที่หลักการของประชาธิปไตย ไม่ควรมุ่งไปที่บุคคล ถ้าเรามุ่งไปที่บุคคล ถ้าได้บุคคล หลักการเสีย ก็เสียทั้งหมด แต่ถ้าเรายอมเสียบุคคล แต่รักษาหลักการไว้ได้ แค่เสียคนแค่คนเดียว แต่หลักการยังอยู่กับคนทั้งหมด ฉะนั้นให้ทำเพื่อหลักการ ไม่ใช่ทำเพื่อบุคคล เพราะถ้าคนนั้นวันหนึ่งก็จะแตกดับไป แต่คนนั้นหลักการนั้นจะอยู่เป็นหลัก เพื่อเป็นหลักประกันให้กับคนอื่นๆ ในประเทศนี้ทั้งประเทศอีก เพราะฉะนั้นทำอะไรก็มุ่งไปที่หลักการ อย่ามุ่งไปที่คน คนจะประสบความสำเร็จ แต่ประเทศชาติอาจจะล้มเหลว แต่จงมุ่งไปที่หลักการจะมีคนเจ็บไม่กี่คน แต่ประเทศชาติจะได้ไปต่อ ฉะนั้นให้คำนึงถึงหลักการ
Q : ทุกวันนี้คนตักบาตร ทำบุญให้กับพระสงฆ์น้อยลงบ้างไหม...?
A : คิดว่ายิ่งวิกฤติคนก็ยิ่งใส่บาตร ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง ขออย่างเดียวเท่านั้นแหละ อย่าให้พระสงฆ์ลงไปร่วมเดินขบวนกับเขา เพราะเมื่อไหร่เป็นแบบนั้น เมื่อนั้นดุลยภาพของสังคมจะเสียทันที เพราะสถาบันสงฆ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นการถ่วงดุลสำหรับสังคม และคนไทยโชคดีมากที่มีสถาบันสงฆ์ ยิ่งเวลานี้กำลังขาดสติก็จะมีพระออกมาเตือนนี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก เราจะต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากสถาบันสงฆ์ในฐานะเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่เตือนสติของสังคม อย่าหลอกใช้สถาบันสงฆ์ลงไปคลุกคลีตีโมงกับชาวบ้าน เพราะไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อสถาบันสงฆ์เอง
อาตมามีเรื่องที่จะเล่าให้ฟัง ตอนที่พระนเรศวรไปทำยุทธหัตถีกับพระราชา ในครั้งนั้นชนะกลับมา แต่ว่าแม่ทัพนายกองตามไปไม่ทัน จึงมีรับสั่งว่าจะตัดหัวแม่ทัพนายกองทิ้ง วันนั้น สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ขอบิณฑบาตชีวิตแม่ทัพนายกองทั้งหมด สมเด็จพระนเรศวรบอกว่ามาขอบิณฑบาตชีวิตแม่ทัพนายกองก็จะให้ แต่จะไม่ให้เฉยๆ แต่จะให้ไปตีเมืองอื่นเอามาเป็นการไถ่โทษ สมเด็จฯ ท่านตอบไปว่าเรื่องการทำศึกสงครามเป็นเรื่องของมหาบพิตร อาตมาไม่ขอคิดเห็น นี่เป็นท่าทีของพระสงฆ์ต่อการเมือง
นี่คือบทบาทของพระสงฆ์ที่เคยเกิดขึ้นสมัยก่อน ถ้าฟังเรื่องนี้ให้ดี จะทราบว่าท่าทีของพระสงฆ์ต่อการเมืองนั้นคืออะไร
Q : ย้ำอีกทีในฐานะประชาชนเราจะผ่านวันที่ 14 มี.ค.นี้ไปได้อย่างไร
A : มองโลกในแง่ดี ว่าคนไทยถึงยังไงก็ไม่อยากฆ่ากันหรอก ที่ชุมนุมกันแค่การวางยุทธศาสตร์นำไปสู่การต่อรองเท่านั้นเอง ให้สบายใจได้ อาตมาเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านวันพรุ่งนี้ไปด้วยความสวัสดี วันที่ 14 มี.ค.นั้น จะเป็นวันธรรมดาที่ผ่านไปด้วยความสงบ แล้วเมืองไทยจะอยู่ด้วยกันแล้ว เมืองไทยก็จะร่มเย็นและเป็นสุขต่อไป
แล้วเราทุกๆ คนจะก้าวข้ามผ่านวันที่ 14 มี.ค.53 นี้ไปด้วยกัน เจริญพร...
จากไทยรัฐออนไลน์
จากคุณ |
:
อู๊ดซัง
|
เขียนเมื่อ |
:
12 มี.ค. 53 13:40:51
A:172.29.7.2 X:210.246.178.51
|
|
|
|