 |
ความคิดเห็นที่ 4 |
|
ความจริงคดียึดทรัพย์ อยากให้ได้อ่านกันทุกคน
กรณ์ จาติกวณิช (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง)
แด่เพื่อน Facebook :
เวลาผ่านไป 4 วันแล้วหลังจากคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พตท.ทักษิณ ผมยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อใดแม้แต่คำเดียวเกี่ยวกับผลของคดีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะผมมีความรู้สึกว่าคนพูดเรื่องนี้เยอะแล้ว แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องนี้ใกล้ตัวผมมาก ในฐานะเป็นคนหนึ่งที่ต่อสู้เรื่องนี้มายาวนาน จึงมีความรู้สึกอยากให้ความคิดและอารมณ์ตกผลึก ก่อนที่จะแสดงความคิดเห็นออกมา
จนถึงวันนี้ความคิดเริ่มนิ่งแล้วแต่ก็ยังสลับซับซ้อนอยู่ ผมเองเข้ามาเกี่ยวข้องจริงๆ ก็ตอนที่ทักษิณขายหุ้นให้ Temasek ในเดือนมกราคม 2549 หนึ่งปีเต็มๆ หลังจากที่ผมเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน จำได้ว่าพฤติกรรมทั้งหมดของทักษิณ ชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นเจ้าของที่แท้จริง และได้ “ซุก” หุ้นทั้งหมดไว้โดยตลอด เขาไปเจรจากับสิงค์โปรโดยอ้างว่าไปเที่ยว เขารีบแก้กฎหมายสัดส่วนการถือหุ้น โดยต่างชาติในบริษัทโทรคมนาคม เพื่อเขาจะได้ขายหุ้นได้ และเขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว
ช่วงนั้นผมทำสองอย่าง อย่างแรกคือผมได้วิเคราะห์ว่ามีหลักฐานที่ กลต. ที่ชี้ให้เห็นว่าเขาแอบถือหุ้น Shin อยู่ที่บัญชีสิงค์โปรในธนาคาร UBS และอย่างที่สอง ผมได้ไปร้องเรียนกับอธิบดีกรมสรรพากร ณ ขณะนั้น ว่าการซื้อมาขายไป โดยลูกของทักษิณทั้งสองคน เป็นนิติกรรมที่ควรต้องมีภาระภาษีให้แผ่นดิน
ผมจำได้ว่าความร่วมมือโดยหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ ได้มาด้วยความยากเย็น ซ้ำแล้วยังมีความพยายามขุดคุ้ยว่าผมเคยมีพฤติกรรมอันใด ในสมัยที่ผมยังอยู่ในวงการหุ้นที่จะเป็นจุดอ่อน ที่จะให้กับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ และเจ้าหน้าที่สรรพากรเอง ก็แอบปล่อยประวัติภาษีผม(ซึ่งเป็นความลับส่วนตัว)ให้กับ ส.ส.ไทยรักไทย ก็โชคดีที่ผมไม่เคยทำอะไรไว้ให้ตัวเองมีแผล แต่ญาติในตระกูลเกือบทุกคน โดนข่มขู่หมดในระยะนั้น วันนี้สิ่งที่ผมคิด คือ ถ้าไม่มีการปฏิวัติในปี ‘49 และไม่มี คตส. เราจะเห็นความยุติธรรมปรากฏในคดีนี้หรือไม่? พอมี คตส. ผมก็หอบข้อมูลทั้งหมดไปให้เขาและเข้าไปช่วยวิเคราะห์
ข้อมูลเหล่านั้น รวมทั้งอธิบายชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหุ้นและการซื้อขายหุ้น ซึ่งค่อนข้างซับซ้อนและเข้าใจยาก ผมจำได้ว่าวันที่ผมเดินเข้าไปที่ คตส. ซึ่งยืมสำนักงานของ สตง.อยู่ชั่วคราว มีกลุ่มกองเชียร์ทักษิณ (สมัยนั้นยังไม่ใส่เสื้อแดง) มารออยู่กันเต็มและตะโกนด่าว่าผมหยาบคาย วันนั้นคุณแก้วสรร ซึ่งเป็นคน คตส. คนหนึ่ง และเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่อง “ซุกหุ้น” โดยตรง เดินเข้าไปในเวลาไล่เลี่ยกัน และโดนด่าทอรุนแรงว่า “อ้ายหน้าหมา”
วันนี้ หัวใจของคดีนี้ คือการพิสูจน์ว่า ทักษิณ ซุกหุ้นจริง หลังจากนั้นจึงเป็นการพิสูจน์ว่า เข้าเอื้อต่อหุ้นที่เขาซุกอยู่ด้วย คำพิพากษาของ ศาลฎีกา สรุป โดยเอกฉันท์ว่าซุกหุ้นจริง ผมนึกย้อนกลับไปช่วงปี ‘49 นั้น ทักษิณ อ้อ โอ๊ค เอม ทุกคนออกมา โกหก ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าไม่ได้ซุก แต่สุดท้ายก็ต้องจำนนต่อหลักฐาน
แต่ย้อนกลับมาที่ประเด็นสำคัญคือ ถ้าไม่ปฏิวัติ จะได้เห็นคำพิพากษานี้ไหม และทำไม สังคมไทยจึงกลับไม่สามารถ มีความยุติธรรมได้ โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจเผด็จการ แสดงว่าบางครั้ง เผด็จการให้ความสำคัญกับความถูกต้องมากกว่า ระบอบประชาธิปไตยหรือ? ก็คงเป็นเพราะคนไทยจำนวนมาก จริงๆแล้วไม่ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง ขอให้ค้าขายได้ อยู่ดีกินดี ใครจะทำอะไรก็ช่าง แล้วความคิดเช่นนี้ผิดหรือ?
ใครๆก็รู้ว่าความถูกต้องหรือความยุติธรรมเป็นสิ่งที่กินไม่ได้ จับต้องไม่ได้ หรือเป็นเพราะคนที่มีอันจะกินเท่านั้น ที่มีเวลามาคิดเรื่องความยุติธรรม ในขณะที่คนจนเขาต้องปากกัดตีนทีบเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ไม่มีเวล่ำเวลามาคิดมากับเรื่องราวเหล่านี้ และเมื่อคนส่วนใหญ่ยังยากจน และเสียงส่วนใหญ่เป็นเสียงสวรรค์ในระบอบประชาธิปไตย คำตอบสุดท้ายจึงเป็นเช่นนี้ ก็คือเป็นว่า “เราไม่แคร์”
ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็อีกหล่ะครับ คนที่ “ไม่แคร์” มีตั้งเยอะที่เป็นพ่อค้าและคนร่ำรวย เอาเข้าจริง ทุกคนก็จะพูดว่าต้องการเห็นความถูกต้อง แต่น้อยคนที่พร้อมจะเสียสละโอกาสของตนเอง เพื่อความถูกต้อง ถ้าทุกคนทำตามหน้าที่ ความยุติธรรมก็จะปรากฏเสมอโดยไม่ต้องมีคนมายัดเยียดให้กับเรา ด้วยการปฏิวัติหรืออื่นๆ เราทำเองได้ แต่เราไม่ทำ บทเรียนนี้ ผมว่าเป็นบทเรียนสำคัญจากคดีนี้ครับ
สุดท้ายแล้ว สี่วันผ่านไป ผมมีความรู้สึกมากขึ้นทุกๆวัน ว่าศาลยุติธรรมจริง ถ้าเป็นผม ผมคงยึดหมดทั้ง 76,000 ล้านบาทแล้วครับ เพราะผมคิดง่ายๆ มาตลอดว่า ถ้าเพียงยึด “ส่วนเกิน” ก็หมายความว่า ทักษิณโกงแล้ว “เท่าทุน” แต่ข้อเท็จจริงก็คือหน่วยงานต่างๆ ที่เสียหายจากการทุจริตของทักษิณยังมีหน้าที่ ต้องฟ้องร้อง เรียกร้องความเสียหายอีกหลายหน่วยงาน ของคลังก็มีครับ คือ ธนาคาร EXIM ที่โดนบังคับให้ปล่อยกู้ราคาถูก ให้รัฐบาลพม่าเอาเงินไปซื้อของจากบริษัทของทักษิณ และผมรู้ล่วงหน้าเลยครับ ว่าจะต้องมีคนกลุ่มหนึ่งและน่าจะเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย ที่จะต้องคิดและรู้สึกว่าทำไมยังไปจองล้างจองผลาญอีก พอแล้วได้ไหม สมานฉันท์กันได้หรือยัง เหมือนยังไม่ยอมรับถึง”หน้าที่” และยังเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง
ส่วนตัวผมทำหน้าที่ต่อไปแน่นอนครับ และ ผมยอมรับเลยว่าเหตุผลส่วนหนึ่ง ก็เป็นเพราะทักษิณยังไม่สำนึกในความผิดที่ตนเองได้ทำไป ยังไม่ยอมรับถึงความเสียหายที่ได้ทำไว้กับประเทศชาติ และที่สำคัญยังไม่ยอมรับว่า ทั้งหมดนั้นเขาทำตัวเขาเอง แต่ยังกลับคิดว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ และเมื่อเขายังขู่อยู่ว่าจะสู้ต่อไปจะเอาคืนกับทุกอย่าง ผมก็ต้องขอบอกครับว่าผมคนหนึ่งก็จะไม่ยอม และไม่ใช่เพราะผมไม่ชอบทักษิณอย่างเดียว แต่เป็นเพราะผมเป็น ส.ส. ผมเป็นรมต.คลัง และผมมีหน้าที่ที่ต้องทำ และที่สำคัญประสบการณ์ 4-5 ปี ที่ผ่านมา ที่ต่อสู้เรื่องนี้มาทำให้ผมรู้ด้วยครับว่า เราไม่มีสิทธิ และไม่สามารถ และไม่ควรปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของคนอื่น
ผมเขียนมายาวมากแล้ว จริงๆก็คือเขียนให้กับตัวเองไปด้วยครับ และอยากจะบอกว่าสุดท้ายแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกดีกับคำพิพากษาเลย ไม่ใช่เพราะผมไม่เห็นด้วย อย่างที่ว่าผมคิดว่าเป็นคำพิพากษาที่อมตะมาก ผมเคารพและน้อมรับด้วยความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าเคารพอย่างมาก แต่ผมเศร้าซึมเล็กๆ เพราะผมไม่แน่ใจว่าพวกเราชาวไทยได้เรียนรู้ในเชิงลึกจากเรื่องราวทั้งหมดนี้หรือไม่ จริงๆแล้วเราให้ความสำคัญกับความยุติธรรมและความถูกต้องแค่ไหน และเราพร้อมจะเสียสละเพื่อช่วยกันรักษาความถูกต้องในสังคมหรือไม่ ผมคิดเอง ตอบเองได้ครับ แต่ไม่ค่อยชอบคำตอบเท่าไรนัก แต่ยังไงก็ไม่ท้อครับ
จากคุณ |
:
moxilla147
|
เขียนเมื่อ |
:
12 มี.ค. 53 15:00:25
A:125.25.188.129 X:
|
|
|
|
 |