 |
ความคิดเห็นที่ 38 |
|
ให้ยาขมจนทำให้ประเทศติดลบหนัก
นโยบายดอกเบี้ย - สถาบันการเงิน 3 ปีเสียหาย 2.7 ล้านล้าน
รัฐบาลชวน หลีกภัย เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย. 40 นับเป็นเวลาเกือบ 3 ปี รัฐบาลมีนโยบายและมาตรการออกมาแก้ไขวิกฤตการณ์เศรษฐกิจ ภายใต้การควบคุมของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รมว.กค. และ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แนวทางดำเนินมาตรการทางการเงินการคลังเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลตาม รายงานของกระทรวงการคลังมี 6 ครั้ง (ไม่นับมาตรการฉบับ ครม.31 ตุลาคม 2543) และเริ่มในหนังสือแสดงเจตจำนงที่ทำไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ตั้งแต่ฉบับที่ 2 เป็นต้นมา
จากผลการสำรวจคนในวงการ เศรษฐกิจการเงินการธนาคารทั้งนายแบงก์ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่สำนักวิจัยเพื่อการวิเคราะห์และประเมินผลนโยบายมาตรการสถาบัน การเงิน สรุปผลได้ว่า ล้มเหลวและน่าผิดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ สามารถพิสูจน์ความเสียหายในแต่ละกรณีทั้งการแก้ปัญหาสถาบันการเงินและนโยบาย อัตราดอกเบี้ย ถมสถาบันการเงินสูญเสีย 1.3 ล้านล้าน
การแก้ปัญหาสถาบันการเงิน ประกอบด้วย 1) การประมูลขายสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน 56 แห่ง องค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ ถูกปิด 56 บริษัท ปรส.ทำหน้าที่จัดการสินทรัพย์และนำออกขายเพื่อนำรายได้ส่งคือแก่เจ้าหนี้ของ บริษัทและกองทุนฟื้นฟู ในวันที่ 23 มิถุนายน 2541 รัฐบาลได้ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 เพื่อให้ผู้ซื้อทรัพย์สินจาก ปรส.ได้กรรมสิทธิ์สมบูรณ์ จากนั้นได้เริ่มประมูลสินทรัพย์หลักครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2541 จากตัวเลขสรุปผลการ จำหน่ายสินทรัพย์ ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2542 ปรากฏว่าจำหน่ายสินทรัพย์ ปรส.ได้ทั้งสิ้น 327,714 ล้านบาท ในขณะที่ราคาประเมินสินทรัพย์เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2540 เท่ากับ 851,000 ล้านบาท การบริหารจัดการอย่างไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดการขาดทุนถึง 523,286 ล้านบาท ผลกระทบที่ตามมาทำให้กองทุนฟื้นฟูต้องประสบปัญหา ซึ่งชดเชยด้วยภาษีอากรจากประชาชน
2) มาตรการ 4 สิงหาคม 2541 ได้แก่ โครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 และ 2 วงเงิน 300,000 ล้านบาท การแทรกแซงสถาบันการเงิน 2 ธนาคารและบริษัทเงินทุน 12 แห่ง ที่ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงและการกำหนดควบรวมกิจการขาย และกิจการธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ มหานคร นครหลวงไทย และธนาคารศรีนคร
มีสถาบันการเงินขอรับ ความช่วยเหลือ รวมคิดเป็นมูลค่า 72,000 ล้านบาทจากวงเงิน 3 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 24 ขอวงเงิน "มาตรการ 14 สิงหาคมจึงยังไม่สามารถช่วยให้ธนาคารเพิ่มทุนได้อย่างเพียงพอกับความเสีย หาย" ในขณะที่ออกมาตรการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เท่ากับ 36.20% เมื่อประเมินช่วงเวลา 1 ปีหลังจากมาตรการจะพบว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สูงขึ้นเป็น 47%
"มาตรการ 14 สิงหาคม นี้เป็นนโยบายที่สถาบันการเงินไม่ตอบรับเนื่องจากเกรงว่าจะถูกรัฐแทรกแซง เห็นได้จากการที่ทางธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ออกตราสารประเภท CAPS หรือ SLIPS เองเพื่อทดแทนเงินกองทุนที่ลดลงด้วยปริมาณที่มากถึง 1.08 แสนล้านบาท โดยจำเป็นต้องให้ผลตอบแทนที่สูงเพื่อจูงใจนักลงทุน ทำให้อัตราดอกเบี้ยจ่ายสูงประมาณ 11% สูงกว่าดอกเบี้ยตลาดประมาณ 4% คิดเป็นความเสียหายจากต้นทุนที่เพิ่มกว่ากู้ปกติ 4,321.2 ล้านบาท และเมื่อประมาณความเสียหายจากการขายธนาคารที่รัฐเข้าไปแทรกแซงตามมาตรการ 14 ส.ค. ทำให้รัฐบาลต้องขาดทุนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเอ็นพีแอลของธนาคารที่รัฐยึดมาสูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท
จากการประเมินการขาย ธนาคารรัฐต้องรับผิดชอบความสูญเสีย (loss sharing) 85% ของเอ็นพีแอล และ Yield maintenance เท่ากับ 1% ของสินเชื่อที่ไม่ได้รายได้
"คำนวณได้ว่าจะเกิดความ สูญเสียที่แน่ชัดแล้ว 40,000 ล้านบาทต่อแห่ง และหากการดำเนินงานของธนาคารต่อไปประสบกับภาวะดังเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน นี้ คาดว่า ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นถึง 136,000 ล้านบาทต่อแห่ง"
เมื่อรวมทั้ง 3 ธนาคารคือ ธนาคารศรีนคร นครธน และธนาคารรัตนสิน รวมเป็นมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแน่นอนแล้วรวมเท่ากับ 120,000 ล้านบาท และสามารถมีความเสียหายในอนาคตได้รวมมากถึง 408,000 ล้านบาท
3) มาตรการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ของธนาคารกรุงไทย เพื่อโอนหนี้เสียออกจากธนาคารกรุงไทย 537,000 ล้านบาท เป็นการโอนหนี้เสียจำนวนดังกล่าวออกจากระบบบัญชีของธนาคารกรุงไทย ซึ่งบริษัทบริหารสินทรัพย์จะให้กองทุนฟื้นฟูอาวัลตั๋วเงินเพื่อใช้ในการซื้อ หนี้ดังกล่าว แต่ปรากฏว่า แทนที่จะซื้อหนี้ในราคาตลาดปัจจุบันกลับจะซื้อในราคาเต็มตามมูลค่าทางบัญชี (สังเกตได้จากผลรวมของเงินที่อุดหนุนให้แก่ธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์ ทั้งหมด) เป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดประมาณ 2 เท่า ทำให้เกิดความเสียหายโดยจะตกเป็นหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและรัฐบาลในที่สุด ประมาณ 268,500 ล้านบาท
4) การออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฟื้นฟู ระหว่าง พ.ค. - ต.ค. 2541 ได้แก่ งวดวันที่ 10 พ.ค. 2541 งวดแรกและงวดสองรวม 150,000 ล้านบาท มีอายุ 1 ปี ดอกเบี้ย 12.75% วันที่ 31ส.ค. 2541 งวดสาม 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 50,000 ล้านบาทระยะเวลา 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 8.25% และอีก 50,000 ล้านบาท ระยะเวลา 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 8.5% ยังมีการออกพันธบัตรในหลาย ๆ คราวอีกประมาณ 90,000 ล้านบาท และต้องมีการออกเพิ่มเติมจนกระทั่งครบ 500,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยความเสียหายเต็มจำนวนให้กับกองทุนฟื้นฟู รวมออกพันธบัตรทั้งสิ้นที่ออกไปแล้เท่ากับ 390,000 ล้านบาท แต่ต้องครบจำนวนที่ 500,000 ล้านบาท
จากคุณ |
:
สองด้าน
|
เขียนเมื่อ |
:
23 มี.ค. 53 21:52:38
A:112.142.9.7 X:
|
|
|
|
 |