ความคิดเห็นที่ 1 |
|
เชิญเปิดใจอ่านให้จบ......
วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 18:12:21 น. มติชนออนไลน์
เมื่อ "วรเจตน์" จุดไฟในสายลมว่าด้วยศาลฎีกา อ.สมเกียรติ ท่านปรีดี และชะตากรรมของ 5 อาจารย์
จาก เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ
ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์บ่อยนัก ยิ่งบรรยากาศการเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย อาจารย์วรเจตน์ ยิ่งหรี่เสียงตัวเองลงไปเรื่อยๆ แต่นัดนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ยิงคำถามสำคัญ แบบไม่เกรงใจ เพราะมีคนนินทาว่า บทวิเคราะห์ของ 5 อาจารย์ เอื้อ"ทักษิณ"แบบสุด ๆ
26 ก.พ. ศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษา คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ใช้เวลาอ่านคำพิพากษา 187 หน้า 7 ชั่วโมง หลัง คำพิพากษา แพร่ออกไป คนส่วนใหญ่ เชื่อว่า ทักษิณ สงสัยจะทุจริตเชิงนโยบายจริงๆ แต่ อาจารย์ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และพวก รวม 5 คนจาก สำนักท่าพระจันทร์ ไม่เชื่อเช่นนั้น พวกเขา ออกบทวิเคราะห์ 32 หน้ากระดาษ ซึ่งคาดว่า ทีมทนายทักษิณ น่าจะลอกเอาไปใส่ในอุทธรณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์ อาจารย์ วรเจตน์ ในหลายประเด็นที่ คนรัก"วรเจตน์" ตลอดจน คนชัง"วรเจตน์" ก็อยากอ่าน !!!!
@ ผมเห็นไม่ตรงกับ อาจารย์สมเกียรติ (ตั้งกิจวานิชย์)
ในส่วนเนื้อหาที่ว่าเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่นั้น ช่วงที่ผ่านมาเป็นการพูดมุมเดียว ไม่มีการถามคนที่ประกอบกิจการในตลาดที่มีความรู้เรื่องนี้ว่ามุมมองเรื่อง นี้เป็นอย่างไรและวิเคราะห์รอบด้านหรือไม่ ผมเห็นไม่ตรงกับ อาจารย์สมเกียรติ (ตั้งกิจวานิชย์ )ในส่วนเรื่องการกีดกันและเอื้อประโยชน์ในส่วนโทรคมนาคม
เพราะดูจากตัวสัญญาระหว่างบริษัทมือถือต่างๆ ที่ทำกับรัฐวิสาหกิจของรัฐและในส่วนกฎหมายที่ออกมา วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิต ยังไม่พบว่าเป็นการกีดกันรายใหม่แต่อย่างใด เรื่องต้นทุนการประกอบกิจการก็ไม่น่าจะมีผลเป็นการกีดกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบรายใหม่กับรายเก่าแล้ว ต้นทุนในส่วนที่จะต้องชำระส่วนแบ่งรายได้ให้กับรัฐเมื่อเปรียบเทียบกับราย ใหม่ที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบวกกับภาษีสรรพสามิตด้วย ของรายเก่าก็สูงกว่าอยู่ดี
@ ต้องเข้าใจ โครงสร้างกิจการโทรคมนาคมแบบไทยๆ
อันที่จริงประเด็นเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคมมีสองเรื่อง ใหญ่ๆ คือ คือ 1 การออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณทำให้รัฐเสียประโยชน์ หรือไม่ 2 กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่ เราจะเข้าใจประเด็นเหล่านี้ไม่ได้ถ้าไม่มองภาพรวมธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศ ไทย ปัญหาในบ้านเรามันพิสดารไม่เหมือนที่ไหนในโลก เรื่องการให้สัมปทานนั้นเกิดขึ้นก่อนที่คุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เข้ามาเป็นนายกฯ ซึ่งปกติเวลาจะให้สัมปทาน รัฐควรจะเป็นหน่วยเดียวที่เป็นเอกภาพ แล้วให้สัมปทานเอกชนหรือให้เอกชนเข้าร่วมการงาน
แต่ของไทยเรามีรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งที่แยกกัน คือ 1) องค์การโทรศัพท์ ให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือแก่ เอไอเอส ซึ่งเป็นรายแรกที่เข้าสู่ตลาด ในขณะที่ 2) การสื่อสารแห่งประเทศไทยให้สัมปทานโทรศัพท์มือถือกับดีแทคและ ทรูมูฟ
เมื่อเอไอเอสเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การโทรศัพท์ ก็ต้องจ่ายค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์ซึ่งมีโครงข่ายเป็นของตนเองและเป็น โครงข่ายหลักในประเทศ ขณะที่ดีแทคและทรูมูฟซึ่งทำสัญญากับการสื่อสารฯและต้องจ่ายค่าสัมปทานให้กับ การสื่อสารนั้น จะต้องเชื่อมต่อโครงข่ายขององค์การโทรศัพท์ และด้วยเหตุนี้ทั้งสองบริษัทจึงมีต้นทุนการประกอบการอีกส่วนหนึ่งซึ่งเอไอ เอสไม่มี คือ ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย ผลจากการนี้จึงทำให้ต้นทุนการประกอบการของบริษัทเหล่านี้ไม่เท่ากันตั้งแต่ แรก
พูดง่ายๆทำให้ ดีแทคกับทรูมูฟ มีต้นทุนสูงกว่า เพราะนอกจากจะจ่ายค่าสัมปทานให้การสื่อสารฯแล้วยังต้องจ่ายค่าเชื่อมต่อโครง ข่าย ให้กับองค์การโทรศัพท์อีกด้วย อันนี้คือประเด็นที่เป็นผลจากภาครัฐเองในแง่การให้สัมปทาน
ในเวลาต่อมามีการแปรรูปองค์การโทรศัพท์เป็นบริษัท ทีโอที มีการแปรรูปการสื่อสารเป็นบริษัท กสท. โทรคมนาคม ซึ่งมีการเปลี่ยนทุนเป็นหุ้น และกระทรวงการคลังถือหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าในอนาคตหากมีการนำบริษัทสองบริษัทนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็จะต้องขายหุ้นให้ผู้อื่นเข้ามาถือ
ประเด็นคือ ตอนแปรรูปทั้ง 2 หน่วยงานให้เป็นบริษัท ทั้ง 2 หน่วยงานยังได้สืบสิทธิตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อไป นั่นคือทั้งทีโอทีและ กสท.โทรคมนาคมยังได้ส่วนแบ่งรายได้จากการประกอบการของเอไอเอส ดีแทคและทรูมูฟไปตลอดอายุสัมปทาน ทั้งสองบริษัทสามารถที่จะนำเงินส่วนแบ่งไปใช้จ่ายได้ก่อน เหลือแล้วจึงส่งกระทรวงการคลัง
รัฐบาลในขณะนั้นได้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้โดยการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพ สามิต โดยผลของการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลังและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้บริษัทเอกชนคู่สัญญาคือเอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ ต้องส่งมอบส่วนแบ่งรายได้ 10 เปอร์เซนต์เข้ากระทรวงการคลังโดยตรง ส่วนอีก 15 เปอร์เซ็นต์ จ่ายให้คู่สัญญาของตน คือ ทีโอที ดีแทค และทรูมูฟ เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเอไอเอส ไม่ได้จ่ายน้อยลง เพราะยังจ่าย 25 เปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม
@ ผมไม่เห็นว่ารัฐเสียประโยชน์ หรือ เอื้อ เอไอเอส.
ประเด็นที่ว่ารัฐเสียประโยชน์หรือไม่นั้น ผมไม่เห็นว่าเสียประโยชน์เพราะเป็นเพียงการแก้ปัญหาสัมปทาน ในระหว่างที่ยังไม่มีการแปรรูป ส่วนเอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส เพราะมีผลเป็นการกีดกันรายใหม่หรือไม่นั้น ถ้าสมมติว่าภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์นี้ยังอยู่ ถามว่า จะเป็นการกีดกันรายใหม่เข้าสู่ตลาดหรือไม่ ซึ่งเราต้องเข้าใจว่ารายใหม่ที่เข้าสู่ตลาด จะไม่สามารถเข้าทำสัญญากับหน่วยงานรัฐได้อีกแล้ว เพราะไม่มีองค์การโทรศัพท์และการสื่อสารฯ แล้ว แต่หน่วยงานทั้งสองได้กลายเป็นทีโอทีกับ กสท. โทรคมนาคมซึ่งไม่มีอำนาจให้สัมปทานอีกแล้ว แต่จะเข้าสู่ตลาดโดยการได้รับใบอนุญาตซึ่งแม้ว่าจะมีภาษีสรรพสามิต 10 เปอร์เซ็นต์ ต้นทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ก็ยังต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิมอยู่ดี
อำนาจในการอนุญาตให้การประกอบกิจการจะอยู่ที่องค์กรอิสระในทางปกครองที่ ตั้งขึ้นใหม่ คือ กทช. เมื่อรายใหม่เข้าสู่ตลาด ต้องขออนุญาตที่ กทช. ไม่ใช่ทำสัญญาสัมปทาน ซึ่งรายใหม่ จะมี ต้นทุนที่ให้กับรัฐซึ่งต่ำกว่าผู้ประกอบการรายเดิม อย่างไรก็ตามโดยที่รายใหม่ยังไม่มีฐานลูกค้า
ฉะนั้น ยังไม่แน่ใจจะเกิดรายใหม่ได้สักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับสัมปทานอันเดิม
แต่ประเด็น อยู่ที่ว่า เราต้องทำให้สภาพ สามารถแข่งขันกันได้ แต่ถามว่าเป็นการกีดกัน หรือไม่นั้น ผมคิดว่าไม่ อย่างน้อยดูจากต้นทุนก็ไม่ใช่การกีดกัน แต่โอกาสแย่งลูกค้าต้องไปพิสูจน์กันในทางตัวเลข
@อย่ามองข้าม ... มุมมองของผู้บริโภค
ส่วนสาเหตุที่ยังไม่มีรายใหม่เข้าสู่ตลาดที่ผ่านมา เป็นปัญหาจากกฎหมายโทรคมนาคม ซึ่งไม่เกี่ยวกับภาษีสรรพสามิต คือคนที่มีอำนาจออกใบอนุญาตคือ กทช. ซึ่งผมเห็นว่า กทช.มีอำนาจทำได้ แต่ยัง มีปัญหาที่นักกฎหมายจำนวนหนึ่งเถียงกันอยู่ว่า กทช. ไม่มีอำนาจ เพราะยังไม่ได้ตั้ง กสช. ประเด็นคือ รัฐเองตั้ง กสช.ไม่ได้ เมื่อไม่มี กสช. จึงไม่มีคณะกรรมการร่วมมากำหนดแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ ทำให้เถียงกันว่าเมื่อยังไม่มีแผนแม่บทคลื่นความถี่แห่งชาติ กทช.จะออกใบอนุญาตได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ใช่ประเด็นเรื่องภาษีสรรพสามิต แต่เป็น ประเด็นเรื่องอำนาจ กทช.ในการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็นปัญหาของหน่วยงานของรัฐเองหรือการบริหารงานภาครัฐ ที่คุณตั้ง กสช. ไม่ได้ ทำให้ต้องมาถกเถียงกันถึงอำนาจของ กทช.
ตอนที่ผมดูเรื่องโทรคมนาคม ผมมองจากมุมมองของผู้บริโภค ผมมองจากประสบการณ์ผมในการใช้โทรศัพท์มือถือและโทรศัพท์บ้าน เมื่อก่อนนี้ยากเย็นมากในการขอเบอร์โทรศัพท์บ้าน แต่ต้องยอมรับว่าระบบตอนนี้มันดีขึ้นมากเลยเมื่อให้เอกชนเข้ามาลงทุนและยิ่ง ดีขึ้นเมื่อมีการแข่งขันกัน แต่การแข่งขันกันตอนนี้จริงๆ ยังไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะเหตุผลเรื่องโครงสร้างระบบของรัฐมันยังไม่ดี แต่ดีกว่าให้รัฐกุมอำนาจผูกขาดแล้วบริหารกันไปในองค์การโทรศัพท์ เพราะโดยโครงสร้างของตัวระบบรัฐต้องสนับสนุนเงินลงทุน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้เอกชนเข้ามาลงทุน เข้ามาทำสัญญา แล้วมันจะส่งผลทำให้เกิดการแข่งขันกัน โทรศัพท์ก็เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ประเด็นคือ บริษัทพวกนี้จะได้กำไรจากการประกอบการ ซึ่งบริษัทในโลกนี้ทุกบริษัท เวลาประกอบกิจการก็ต้องทำกำไร เป็นเรื่องปกติ เพราะจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีกำไร แต่การมุ่งหวังผลกำไรก็ต้องมุ่งหวังจากการแข่งขันกันกับคนอื่น กลไกตลาดก็จะช่วย รัฐก็ต้องดูกลไกตลาดต้องสร้างความสมดุล แต่ไม่ใช่ไปจัดการทุกเรื่องหรือไปคุมจนกลไกตลาดมันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งอันนี้ต้องดูให้รอบด้านและดูจากมุมมองผู้บริโภคด้วย ซึ่งคนบริโภคเขามุ่งหวังประสิทธิภาพจากการบริการ และค่าบริการที่ต่ำที่สุด ทีนี้วันนี้เงินค่าสัมปทานส่วนหนึ่งต้องส่งเข้าทีโอทีหรือ ทศท.โทรคมนาคม เพื่ออะไร
จากคุณ |
:
เสือคาบดาบ
|
เขียนเมื่อ |
:
26 มี.ค. 53 02:04:57
A:183.89.69.159 X:
|
|
|
|