 |
ความคิดเห็นที่ 10 |
|
ด้วยความยินดีค่ะคุณKgr2310
สื่อสีขาวนั้นมีอยู่นะคะ แต่เป็นคนละโลกกับสื่อสารมวลชนปัจจุบัน สื่อสีขาวคือ หนังสือธรรมะต่างๆ นั่นเอง
สื่อเหล่านี้จะเน้นหลักการ 2 ด้าน
1 ในแง่ใช้ธรรมรักษาตน มีไตรสิกขา คือ ทาน ศีล ภาวนา กล่าวสำหรับฆราวาสธรรม ที่ใช้ดำเนินชีวิตทางโลก คือ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ
2 ในแง่ใช้ธรรมสัมพันธ์กับผู้อื่น จะใช้ พรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ค่ะ
สื่อสีขาวนั้น ถ้าเอาตัวเนื้อๆ แท้ๆ สำหรับชาวพุทธ ก็คือ พระไตรปิฎก ซึ่งสอนให้เราวางใจเป็นกลางได้ดียิ่ง
แต่ก็จริงอย่างที่คุณKgr2310 พูดนะคะ ว่าแม้แต่กลุ่มนักปฏิบัติธรรมเองก็ยังมักขาวไม่แท้ เพราะว่า การเข้าถึงธรรมนั้นมีระดับต่างๆ กัน
ตัวดิฉันเอง ว่าตามเนื้อผ้าก็ยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนอยู่ ยังไม่ได้เข้าถึงปรมัตถ์ธรรมแต่อย่างใด แต่ใน 4 ปีมานี้ ดิฉันยึดพระไตรปิฎกเป็นสรณะ ขออยู่ฝ่ายพระพุทธองค์เท่านั้น
ดิฉันจึงเลือกสนทนาเป็นประเด็นๆ ไป คนในวัยดิฉัน ผ่านมาแล้วทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 , 6 ตุลา 2519 พฤษภาทมิฬ 2535 จึงเห็นปัญหาที่ถักทอมาอย่างสลับซับซ้อน ทั้งในส่วนของโครงสร้างของสังคมไทย และในส่วนย่อยๆ แต่ละส่วนที่ขัดคากันอยู่
เมื่อเกิดประเด็นความขัดแย้งในสังคม คนอย่างดิฉันที่มีเพื่อนอยู่ในทั้งสองฝั่ง ซึ่งสมัยแรกยังไม่มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง มีแต่กลุ่มพันธมิตรฯ กับฝ่ายรัฐบาลคุณทักษิณ ย่อมถูกทั้งสองฝ่ายดึงเข้าพวก เมื่อบอกทั้งสองฝ่ายว่าเป็นกลาง ก็ถูกกดดันจากทั้งสองฝ่าย แต่ถึงปัจจุบันก็พูดคุยได้กับทุกฝ่าย
และได้ข้อสรุป 4 ประการ ในการประยุกต์หลักธรรมกับความขัดแย้งในสังคมไทย คือ 1.เปิดใจ 2.ใฝ่รู้ 3.ดูตน 4.ก้าวข้ามพ้นอคติ ข้อสรุป 4 ประการนี้ ใช้เรียกร้องตนเองเท่านั้นนะคะ 1. เปิดใจ : เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะต้องพูดกับเพื่อนทั้งสองฝ่าย เมื่อ 4 ปีก่อน ฝ่ายหนึ่งที่เป็นเอ็นจีโอก่อรูปเป็นพันธมิตรฯ อีกฝ่ายเป็นพวกทำงานให้คุณทักษิณซึ่งสมัยนั้นเป็นรัฐบาลอยู่ ส่วนดิฉันไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม และไม่เข้ากับรัฐบาล ผลคือถูกด่า หรืออย่างเบาก็ถูกกระแนะกระแหนจากทั้งสองฝ่าย อาศัยเปิดใจรับฟังทั้งสองฝ่าย ยืนยันความเป็นตัวของตัวเอง ก็ข้ามผ่านมาได้
2.ใฝรู้ : เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะ หลังจากเพื่อนทั้งสองฝ่ายเลิกดึงดิฉันเป็นพวก ดิฉันก็เริ่มไม่ค่อยรู้อะไรวงในอีก เพราะเมื่อดึงเป็นพวกไม่ได้ ก็ไม่ค่อยมีใครมาบอกเล่าอะไรให้ฟัง ดิฉันเองก็ไม่ค่อยอยากถามใครถึงข่าววงใน จึงต้องติดตามข้อมูลข่าวสารด้วยตนเอง ซึ่งพบว่า เดี๋ยวนี้แหล่งข่าวต่างๆ เปิดกว้างมาก อ่านไม่หวาดไม่ไหว เพียงแต่ทำใจเป็นกลาง คัดกรองเอาแต่เนื้อหาสาระออกมา สอบทานกัน เราก็พอจะรู้ได้ว่า อะไรกำลังเป็นอะไรอยู่
3.ดูตน : เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเสพย์ข่าวสารมากๆ เข้า เนื่องจากต้องอ่านข่าวของทุกฝ่าย จึงต้องอ่านมาก จิตใจของเราก็จะเริ่มโอนเอียงไปทางโน้นบ้าง ทางนี้บ้าง เพราะถึงอย่างไรข่าวก็เป็นแค่ข่าว ต่อให้เป็นข่าวที่มีคนรู้จักมาพูดกับเราเอง ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์ตรงของเขา เราจึงมักไม่ค่อยรู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ถึงตรงนี้ ถ้าไม่เบื่อหน่ายปวดหัว ก็จะเริ่มหงุดหงิด จึงต้องอาศัยที่เคยปฏิบัติธรรมมา บอกให้ตนเองหยุดดูตนก่อน กลับมาสำรวจทาน ศีล ภาวนาก่อน เพื่อปรับใจให้นิ่ง เพราะน้ำขุ่นย่อมไม่เห็นเงาหน้าตน จิตมืดมนย่อมสร้างมายาภาพไปได้ต่างๆ เมื่อเห็นตนแล้วก็เลยเห็นคนอื่นได้ชัดขึ้น คัดกรองข่าวสารได้ดีขึ้น
4.ก้าวข้ามพ้นอคติ : เริ่มแรกดิฉันเพียงแต่เห็นว่า ข้อเรียกร้องนี้เป็นจริงได้ก็แต่กับในระดับบุคคล คือ เป็นเรื่องของตัวเราเองเท่านั้น แต่เนื่องจากหลายปีมานี้ ผ่านการสนทนากับผู้คนมากมาย ประโยคที่ดิฉันมักเตือนคู่สนทนาว่า "อย่าไปว่าเขา ลองทำความเข้าใจเขา เอาแต่ประเด็นของเขามาพูดกันเถอะ" ไม่ว่ากับสีไหน ฝ่ายไหน ผู้ใด สถานะไหน เดี๋ยวนี้คนใกล้ๆ ตัวที่เป็นเหลือง ก็ถอยออกมา คนที่เป็นแดง ก็ถอยออกมาเหมือนกัน และดูราวกับว่า พวกเขาจะเริ่มเห็นว่า ฝ่ายที่เรียกร้องจริยธรรม เขาก็ไม่ได้คัดค้านประชาธิปไตย ฝ่ายที่เรียกร้องประชาธิปไตย เขาก็ต้องการศีลธรรมเหมือนกัน
ดิฉันจึงคิดว่า หลายปีมานี้ก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่า ผู้คนตื่นตัวทางการเมืองมากขึ้น จากการเคลื่อนไหวของทุกเสื้อสี พวกเขาเรียนรู้ที่จะแสดงตน และเข้าใจความสัมพันธ์ทางสังคมเพิ่มขึ้น ถ้าเมื่อไรที่พวกเขาก้าวข้ามพ้นเรื่องสีเสื้อ มีความคิดเห็นเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ปัญหาพื้นฐานต่างๆ ของสังคมไทย ก็จะปรากฏขึ้นสู่เวทีการแก้ไขอย่างเป็นจริง
ถ้าถามใจดิฉัน ดิฉันอยากให้เราก้าวข้ามเรื่องสีเสื้อกัน อยากให้เอาประเด็นมาแลกเปลี่ยนกันเป็นประเด็นๆ ไป เพราะสังคมไทยเป็นของทุกๆ คน จะทำอะไรก็ตาม ขอให้ทุกคน ทุกฝ่าย เคารพซึ่งกันและกัน
คุยแค่นี้ก่อนนะคะ ชักยาวเกินไปแล้ว ขอให้คุณKgr2310 อยู่เย็นเป็นสุขนะคะ
จากคุณ |
:
oDaineo
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มี.ค. 53 22:51:50
A:124.120.78.45 X:
|
|
|
|
 |