สี่แยกคอกวัว เรื่องจริงวันนี้ ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
|
|
ออกตัวก่อน ว่าผมไม่ได้อยู่สีแดงครับ เพียงแต่ชอบเกาะติดสถานะการณ์ เมื่อเมษายนปีก่อน ผมก็มีโอกาสไปอยู่ในเหตุการณ์มาเหมือนกัน ปีนี้ผมจึงไม่กลัวที่จะไปชมการสลายชุมนุม(เป็นความคิดที่ผิด) เพราะเห็นว่าปีที่แล้วก็ปลอดภัยดีไม่มีอะไร แม้จะมีหลายคนเตือนก็ตาม
พอวันนี้ผมได้ข่าวการสลาย ผมก็รีบบึ่งแมงกะไซคู่ใจไปทันที เพราะผมคาดว่า วันนี้น่าจะยาวแน่ ไม่เหมือนที่ไทยคม หลังออกจากบ้านเพิ่งนึกได้ว่า เออวันนี้ยังไม่ได้ชาร์ทแบตมือถือนี่หว่า หยังงี้จะเอาอะไรถ่ายรูปวะ เอ็มพีสามก็ไม่ได้เอามา แล้วจะตามข่าวยังไง เซงนิดหน่อยแต่ก็เลยตามเลยครับ
ขอบอกก่อนว่าตะลุยกรุงเทพครั้งแรก ผมไม่เคยขับไปไกลจากที่พักตัวถึงเองขนาดนี้ อาศัยสัญชาติญาณขับตามๆเขาไป สักพักพี่เสื้อแดงคันข้างหน้า คุยกะคันข้างๆว่า ไปผ่านฟ้า ผมก็เลยเอาวะ ตามหมอนี่ไปก็แล้วกัน พี่แกขี่เก๋ามาก ผมเกือบตามไม่ทัน หมวกกันน็อคพี่แกก็ไม่ใส่ ฝ่าไฟแดงมั่ง สวนเลนมั่ง ผมก็อดห่วงว่าพี่แกจะโดนใบสั่งมั้ยหน้อ
แต่วันนี้ เหมือนเป็นวันพิเศษอะไรสักอย่าง เหมือนถ้าใส่เสื้อแดง ผูกผ้าพันคอแดง แล้วทำอะไรก็ได้ พี่แกฝ่าไฟแดง ผมก็ฝ่าตามพี่แกไป ตำรวจก็ทำได้แค่มอง ผมเองไม่มีสัญลักษ์ของแดงยังได้อานิสงค์ด้วยเลย ฝ่าไฟแดงไปหลายแยก วิ่งสวนเลนไปหลายหน ในที่สุดก็ใกล้ที่หมาย เพราะแดงเริ่มหนาแน่นขึ้น
สักพัก ผมก็คลาดสายตาจากพี่แดงคันที่ผมตามมา ก็ถึงเวลาที่ผมต้องคลำทางไปด้วยตัวเอง ขับไปขับมา ไปขึ้นสะพานพระปิ่นฯซะงั้น เจอกลุ่มผู้ชุมนุมเผชิญหน้ากับทหารที่บนสะพาน ผมก็เลยจอดดูซะหน่อย เห็นผู้ชุมนุมคนหนึ่ง ถือกล่องสีเขียวที่ยึดมาจากรถทหาร จากนั้นก็วิ่งขึ้นมอไซขับลงสะพานไป ผมเลยกลับไปที่รถแล้วขับตามไปบ้าง
ปรากฎว่าก็ไม่มีอะไรครับ มีเพียงผู้ชุมนุมกลุ่มเล็กๆเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจขับกลับไปที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยครับ ข้างหน้าเป็นเส้นทางไปไหนนั้นผมไม่ทราบ คิดว่าน่าจะเป็นเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ผมคิดในใจว่าหากตรงไปกลับรถ คงไกลแน่ เลยวิ่งย้อนศรมันซะเลย
บอกแล้วครับ วันนี้มันเป็นวันพิเศษ ผมรู้สึกสะดวกสะบายมาก(แต่ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไปหรอกนะครับ) ขับกลับมาขึ้นสะพาน ก็เห็นรถทหารที่จอดเรียงรายกันอยู่ ถูกปล่อยลมยางทุกคัน เลยหายสงสัยครับว่าเขามาจอดทิ้งไว้ทำไม
หลงทางอยู่หลายรอบ แล้วในที่สุด ผมก็ถึงบริเวณสะพานผ่านฟ้าครับ เจอกลุ่มผู้ชุมนุม และแกนนำที่ไม่ใช่ตัวหลักมาขึ้นเวที ผมจึงตัดสินใจจอด ไปฟังคำปราศรัย ตั้งใจจะฟังว่าตอนนี้ มีเหตุเกิดที่จุดใดบ้าง จะได้ตามไปดู สักพัก ผู้ชุมนุมที่สะพานพระปิ่น เอาอาวุธที่ยึดมาขึ้นเวที แล้วก็พูดบลาๆ ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจฟังครับ
อยู่ได้สักพัก ผมก็คิดว่าแถวนี้ไม่มีทหารอย่างในข่าวแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง (ซึ่งผมมาทราบทีหลังว่า ผู้ชุมนุมยึดพื้นที่คืนจากทหารได้แล้ว เพราะกว่าผมจะมาถึงก็ใช้เวลาไปพอสมควร) ผมจึงตั้งใจว่าจะกลับบ้านครับ
ขับมั่วๆมา เจอสนามม้านางเลิ้ง หันซ้ายหันขวา "เฮ้ย ทางนั้นมีทหารตั้งแนวอยู่ ไปดูดีกว่า" จึงจอดรถ แล้วขึ้นไปสังเกตุการณ์บนสะพานลอยครับ เห็นทหาร และผู้ชุมนุมยืนจังก้ากันอยู่นานมาก ผมเองคิดว่าตรงนี้มันไม่ใช่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก แต่ด้วยความที่ว่า ผมมารออยู่ตรงนี้ก็นานแล้ว รอดูอีกสักหน่อยจะเป็นไร
รออยู่นานมากครับ ผู้ชุมนุมก็ทยอยมากันเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นครับ จนสักพักมีรถโมบายประกาศให้ผู้ชุมนุม ไปช่วยกันที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ผมก็จำไม่ได้แยกคอกวัวมันตรงไหนวะ(ทั้งๆ ที่เพิ่งไปมา) แต่เลือกที่จะตามไปดูครับ เพราะคิดว่ายังไงๆ ผู้ชุมนุมน้อยกว่าทหาร ที่นี่ก็คงไม่มีอะไรแน่
ผมตามไปไม่ทันครับ เพราะจอดรถอยู่ไกลมาก ขับรถผ่านที่มีการถ่ายทอดสดจำได้เป็น นายจตุรณ ฉายแสง กะลังปราศรัย ก็รู้สึกว่ามันต้องใกล้แล้วล่ะ ที่สุดก็เดาถูก พอถึงแยกคอกวัว ก็หาที่จอดครับ ดูที่มันปลอดภัยหน่อย เราไม่ได้เกี่ยวอะไรกะเขา เสียหายไปมันไม่คุ้มครับ
จอดเสร็จผมก็เดินไปเตะวัตถุอะไรบางอย่าง หยิบขึ้นมาดูพบว่ามันเป็นสลักระเบิดครับ (ตอนพลังผมโยนทิ้ง เพราะกลัวเจอด่านตรวจ มันจะซวยไม่เข้าท่า) จึงเก็บใส่กระเป๋าไว้ดูเล่นแล้วเข้าไปปะปนกะผู้ชุมนุมแถวๆแมคโดนัลครับ บอกตามตรงว่าตอนแรกผมไม่กลัวเลย เพราะเมษาปีแล้วที่เคยเจอและเข้าไปใกล้มาก เพราะรู้สึกว่ามันค่อนข้างคาดเดาได้ แต่สักพักผมก็คิดใหม่ รู้สึกว่าปีนี้มันไม่ใช่ เมื่อสังหรณ์ใจอย่างนั้น จึงขอทิ้งระยะสักหน่อย
อยู่ใกล้ๆรถกระบะของใครก็ไม่รู้ ยืนอยู่อย่างระมัดระวั และตื่นตัวตลอดเวลา เห็นผู้ชุมนุมทยอยมากันเรื่อยๆ มีการเปิดเพลงกันสนุกสนาน พวกเขาเริ่มฮึกเหิมกันมาก มีการปะทะกันเป็นระยะ มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด การปะทะกันเริ่มต้นเป็นระลอก ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง ช่วงก่อนที่จะมีการปะทะกันรุนแรงที่สุดนั้น เหมือนเป็นช่วงที่ผู้ชุมนุมกำลังรออะไรบางอย่าง รอกำลังจากผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์มาสมทบ รอรถแกนนำมาให้สัญญาณ
ช่วงที่รอนี้เป็นช่วงที่ไม่มีอะไรครับ แม้จะเสียงปืนดังการ ปะทะกันก็มีเพียงการบาดเจ็บเล็กน้อย ผู้ชุมนุมก็พยายามตะโกนว่า "ทหารยิงประชาชน" "ทหารฆ่าประชาชน" แต่ยังไม่มีใครตายครับ จนเมื่อแกนนำมาถึงนั่นแหล่ะ(ซึ่งผมมองไม่เห็นว่าเป็นใคร แต่น้ำเสียงคล้าย นายณัฐวุธ) เริ่มโดยการที่แกนนำปราศรัย ซึ่งใจความมันเริ่มแปลกๆ ประกาศสงครามเต็มรูปแบบบ้าง จะไล่นายกออกจากประเทศบ้าง และที่สำคัญที่สุด ที่ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว คือประโยคที่ว่า
"วันนี้เราจะไม่ส่งศพให้ใคร เราจะเอาวีระบุรษเราขึ้นเวที"
นี่คือสิ่งที่เขาพูดก่อนมีการตายเกิดขึ้นครับ ผมแปลกใจเหมือนกันครับว่าทำไมต้องพูดอย่างนี้ ช่วงเวลาหนึ่ง การปะทะที่ดุเดือดรุนแรงก็เกิดขึ้น
เสียงปืนดังถี่มากครับ ช่วงที่ทหารยังไม่ถอย ช่วงนี้ผมเองก็ไม่ทราบแล้วว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง เพราะไม่มั่นใจว่าลูกหลงมันจะมาเมื่อไหร่ ผมอยู่ระหว่างกระบะสองคันที่จอดคู่กันอยู่ครับ
ที่สุดผมจึงขึ้นไปที่กระบะคันแรก มองดูด้วยสายตา ผมเห็นทหารยิงปืนขึ้นฟ้าครับ ความกลัวเสียงปืนจึงเริ่ม ผ่อนคลายลง เพราะคิดว่าคงไม่ยิงมาทางเราแน่ สักพักมีเสียงระเบิดดังขึ้น ความรุนแรงนั้นแม้แต่ผมที่อยู่ ไกลยังรู้สึกได้ ช่วงนี้พอดีผมหยิบมือถือมาถ่ายไว้ได้ เสียดายที่มันไม่ชัดเท่าที่สายตาผมได้เห็น
จังหวะที่ทำให้แนวทหารต้องถอยร่น คือช่วงที่มีระเบิดเพลิงปาเข้าใส่ จากนั้นมีระเบิดตกลงที่ทหาร ผมเห็นชัดเจนมาก แกนนำก็ประกาศ มันแค่เสียงดังไม่มีอะไร ไม่มีบ้านแกดิ แรงอัดมันแรงมาก ผมเห็นท่าแบบนี้คงไม่ดีแล้ว ทหารต้องตอบโต้กลับแน่ จึงตั้งท่าหนีอยู่นานมาก สักพักทหารก็ถอยเข้าซอยไป บริเวณนั้นก็เริ่มลดความรุนแรงลงบ้าง
จังหวะนี้ผมมั่นใจแล้วครับ ว่าต้องมีคนตายทั้งสองฝ่ายแน่ และต้องเป็นฝ่ายทหารด้วยแน่ เพื่อให้เห็นกับตา ผมเลยลองเดินเข้าไปสำรวจดู เห็นผู้ชุมนุมพยายามทุบทำลายรถถังที่ยังติดเครื่องอยู่ รถคันไหนที่ใช้ล้อยาง ก็ถูกผู้ชุมนุมพยามปล่อยลมยางออก
สักพักก็เดินไปเจอกองเลือดเข้า หนึ่งจุด สองจุด ผมยังเดินไปอีกแม้จะมีเสียงปืนดังเป็นระยะ ไปถึงรถถังคันที่สอง ข้างบนผู้ชุมนุมคนหนึ่งพยามทำร้ายเจ้าหน้าที่ในรถ ข้างหลังบริเวณพื้น ผมเห็นสิ่งๆหนึ่ง ที่ทำให้ผมต้องผงะ มันคือศพของผู้ชุมนุมเสื้อแดง มันสมองและเลือดไหลนองพื้นถนน ผมคิดว่าสภาพนี้ โดนรถทับแน่นอนครับ
และผู้ชุมนุมอีกคนพยามลากศพเหมือนอะไรสักอย่าง แกนนำก็ประกาศ "อย่าให้มันเอาศพไป" ทั้งๆที่บริเวณนั้นไม่มีทหารอยู่แล้ว ภาพที่ผมเห็น มันทำให้ผมตัดสินใจไปที่รถและสตาร์ท เครื่องกลับทันที ผมบิดคันเร่ง ด้วยความหงุดหงิด และขุ่นข้องหมองใจ
นัยตาของผมมีน้ำตาซึม ซึ่งน้ำตาของผมไม่ได้มาจากฤทธิของแก็สน้ำตาแต่อย่างใด
แต่มันมาจาก ความไม่เข้าใจว่า ทำไม.. บางคน.. จึงยอมต่อสู้จนตาย เพื่อเป้าหมายของคนอื่น
ไม่เข้าใจว่า ทำไม.. บางคน.. จึงยอมเอาคนอื่นมาตาย เพื่อเป้าหมายของตัวเอง
ประเทศไทยวันนี้ คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และคงยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นเช่นไร ซึ่งอะไรจะเกิด ก็คงต้องให้มันเกิดแล้วครับ
ถ้ามีใครมาถามผม ว่าประชาธิปไตย จริงๆแล้วคืออะไร ผมไม่มีคำตอบที่ที่เป็นวิชาการตามตำราครับ คำตอบที่ผมจะตอบ เป็นคำตอบที่มาจากความเชื่อของผม เท่านั้นเอง ประชาธิปไตยของผมคือ "สิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ และที่สำคัญที่สุด คือความรับผิดชอบครับ"
วันนี้... เราได้แสดง "สิทธิ" ของเราแล้ว วันนี้... เราได้แสดง "เสรีภาพ" ของเราแล้ว วันนี้... เราได้แสดง "หน้าที่" ของเราแล้ว วันนี้... เราได้แสดง "ความรับผิดชอบ" ของเราแล้วรึยัง?
ปล.เรื่องราวที่ผมบอกเล่า ทุกอย่างเป็นความจริง และผมได้พยายามถ่ายทอดอย่างอดทน ไม่ประสงค์ให้นำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด...
จากคุณ |
:
คนเสื้อโหล
|
เขียนเมื่อ |
:
11 เม.ย. 53 03:35:19
A:183.89.201.152 X:
|
|
|
|