หลังเกิดการฆาตกรรมบนถนน ทำให้ผมโพสท์อะไรไม่ได้มาเกือบ 10 วัน
|
|
สมองมึนตึบไปหมด มองเห็นแต่การนองเลือดที่เกิดขึ้น และไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในยุคที่ประเทศไทยกำลังได้รับการยอมรับในเรื่องประชาธิปไตย
16 ต.ค. 16 ผมยังไม่ได้สนใจในเรื่องการเมือง เลยไม่รู้สึกเท่าไรกับการสูญเสียของเหล่าวีรชน 6 ต.ค. 19 ถึงแม้จะมีการสูญเสียมากมาย แต่ผมก็เหมือนคนทั่วไป ที่เชื่อในข่าวสารที่ได้รับมาเพียงด้านเดียว 17 พ.ค. 35 ผมเริ่มรู้จักการเสียสละของประชาชน เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ตอนนั้นก็ยังคิดว่า ธุระไม่ใช่ 14 เม.ย. 52 มีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในสังคม กฏหมาย 2 มาตรฐาน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสังคมยังคงรับฟังสื่อข้างเดียว รักที่จะเชื่อในข่าวสารที่ทางรัฐฯนำเสนอ อีกทั้งไม่สามารถนำศพผู้เสียชีวิตมาพิสูจน์ได้ จึงยกผลประโยชน์ให้กับทางรัฐไป
แต่เมื่อถึงวันที่ 10 เม.ย. 53 สิ่งที่ผมได้เห็น คนเสื้อแดงที่กำลังชุุมนุมกำลังเต้นอย่างสนุกสนาน ในขณะที่ดนตรียังไม่จบเพลงแรกด้วยซ้ำ ก็ได้ยินเสียงปืนดังเป็นข้าวตอกแตก พร้อมกับได้ยินเสียง ทหารอย่ายิงประชาชน มันฆ่าประชาชนกันแล้ว สิ่งที่ผมได้เห็น คนเสื้อแดงร้อง กรูทนไม่ไหวแล้วเว้ย พร้อมทั้งตรูกันเข้าหารถถัง ด้วยมือเปล่า หรืออย่างเก่งก็อาวุธที่พอหาได้ ไม่ว่าก้อนอิฐ ไม้ หรือขวดน้ำ เพื่อต่อสู้กับอาวุธสงคราม ที่พวกเขาเหล่านั้นเสียภาษีซื้อหามาให้ สิ่งที่่ผมได้เห็น คนตาย คนเจ็บ ถูกลำเลียงออกไป ส่วนคนเป็นก็ยังคงยืนหยัดสู้ต่อไป สิ่งที่ผมได้เห็น ความเจ็บ ความตาย และคราบน้ำตาที่รวมกันอยู่บนถนนแห่งนี้ และสิ่งที่ผมคิด ถ้าไม่มีระเบิด 2 ลูกนั้นจากคนที่รัฐบาลบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ถนนสายนี้ไม่รู้จะต้องสูญเสียอีกกี่ศพ เลือดจะนองอีกเท่าไหร่
ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพียงเพราะความคิดเห็นต่างทางการเมือง ผมหดหู่ ผมรันทด ผมปวดร้าว และผมร้องไห้ กับชีวิตทุกชีวิตที่ต้องสูญเสียไป พร้อมทั้งสมเพชกับคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ยินดีปรีดากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีความสุขกับการเข่นฆ่าพี่น้องร่วมชาติ บางคนถึงขั้นจะล้างคนเสื้อแดงให้หมดเสียด้วยซ้ำ นี่หรือครับ ประเทศไทย สยามเมืองยิ้มของพวกเราที่เคยภาคภูมิใจเป็นนักเป็นหนา
แล้วก็มาถึงวันนี้ ผมเริ่มรู้สึกมีความสุขขึ้นมาบ้าง ประเทศไทยยังมีความหวังที่จะได้รับประชาธิปไตยคืนมาอย่างแน่นอน เพราะเราไม่ใช่มีแค่ลุงนวมทอง ไพรวัลย์เพียงคนเดียว แต่เรายังมีกลุ่มคนเสื้อแดงอีกกลุ่มใหญ่ ที่รัฐบาลพยายามบอกว่าเป็นม็อบรับจ้าง เป็นคนไร้การศึกษาที่ไม่รู้จักประชาธิปไตย แต่ก็ยังยืนหยัดต่อสู้กับอิทธิพลมืดต่างๆ ยอมทนทุกข์ ยอมลำบาก ยอมกระทั่งสละชีวิต เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่สังคมไทย
สุดท้ายนี้กระผมจึงอยากกราบคารวะพวกท่านทุกๆคนที่ยอมเสียสละให้กับประชาชนทั้งชาติ ถึงแม้จะมีบางคนยังไม่เข้าใจว่า พวกท่านยอมทิ้งครอบครัว ยอมลำบากตรากตรำ และยอมแม้กระทั่งสละชีวิต เพื่ออะไรกัน แต่ผมคิดว่า สักวันหนึ่ง เมื่อประชาธิปไตยกลับคืนมา พวกเขาเหล่านั้นก็จะเข้าใจเองว่า พวกท่านนี่แหละคือ วีรชนของประเทศที่ยอมพลีชีพเพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
จากคุณ |
:
ทวดเอง
|
เขียนเมื่อ |
:
22 เม.ย. 53 10:30:04
A:183.89.91.1 X:
|
|
|
|