Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เบื้องหลัง 10 เมษา ถล่ม "บูรภาพยัคฆ์"  

นั่งอ่านมติชนรายสัปดาห์หัวข้อ เบื้องหลัง 10 เมษา ถล่ม "บูรภาพยัคฆ์"

อยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านจริงๆ(แนะนำให้ซื้อครับ บทความนี้สองหน้ากระดาษ) พอดีเห็นสมาชิกท่านหนึ่ง เหมือนจะย่อมาให้แล้ว เผื่อท่านที่ยังไม่ได้อ่านอีกทีครับ กระทู้ห้องราชดำเนินตกไว้
V
V
V

ชื่อของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. กับเพื่อนรัก บิ๊กหนุ่ย พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. กลับถูกวิพากษ์ลั่นกองทัพเกี่ยวกับการทำกองทัพไปรับใช้การเมืองอย่างเต็มตัว แม้ว่าจะทำเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองก็ตาม  หลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าต้องจัดการเด็ดขาด พร้อมทั้ง "คำสั่งพิเศษ" ที่ว่า " ต้องจบก่อนสงกรานต์ “ ที่กดดันทั้งรัฐบาลและกองทัพจนเกิดวางแผนผิดพลาด  นำมาซึ่งเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน
ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ท.ดาว์พงษ์ ไม่รีรอที่จะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า ที่บังคับให้เรียกอย่างสวยหรูว่า "ขอคืนพื้นที่" หลังจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ต้องการให้ทำมานานแล้ว  แต่ยุทธการ "ยึดผ่านฟ้า" กลับเริ่มต้นตอนบ่ายโมงเศษๆ โดยฉวยโอกาสเมื่อคนเสื้อแดงบุกไล่ทหารที่กองทัพภาค 1 เพราะกลัวว่าจะมาสลายการชุมนุม จึงมีเวลาปฏิบัติการแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพลบค่ำ ซึ่งตามหลักนิยมทหารแล้วจะหลีกเลี่ยงเพราะควรจะเป็นช่วงก่อนรุ่งสางมากกว่า เลือกเวลาที่ม็อบอ่อนล้าอ่อนเพลีย หรือลดจำนวนน้อยลง แถมมีเวลาปฏิบัติการได้ทั้งวันหากจะปิดเกม  ทั้งๆ ที่เพลี่ยงพล้ำก็ควรจะหยุดเพื่อตั้งหลักตามยุทธวิธี แต่อาจด้วยเพราะ "อารมณ์" กลับมีคำสั่งให้เสริมกำลังทหารพร้อมเสียงกรอกใส่โทรศัพท์ว่า "ต้องให้จบในคืนนี้" ทั้งๆ ที่ปฏิบัติการทางทหารต้องใช้สถานการณ์เป็นตัวตัดสิน ต้องค่อยๆ ก้าวอย่างมีกลยุทธ์ ไม่เร่งรัดหรือขีดเส้นเวลา ที่สำคัญ ต้องไม่ให้ปัจจัยการเมืองมาแทรกแซงปฏิบัติการทางทหาร
งานนี้เมื่อกองทัพต้องใช้แผน "ล้อมปราบ" ด้วยการใช้
1    "ทหารป่า" อย่างกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) กาญจนบุรี บุกมาทางฝั่งธนบุรี สะพานพระปิ่นเกล้า  
2    กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) อันโด่งดังในชื่อ "บูรพาพยัคฆ์"  เดินหน้าลุยเข้าถนนดินสอ หน้า ร.ร.สตรีวิทยา และแยกไปทางวัดบวรนิเวศน์ฯ บางลำพู เข้าถนนตะนาว ข้าวสาร และแยกคอกวัว
3    กำลังเสริมจาก กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มาเสริม โดยเฉพาะรถสายพานลำเลียงพล แบบที-85 จากจีน รวม 9 คัน เพื่อหวังเป็นด่านหน้าในการบุกตะลุย และเป็นเกราะกำบังภัยให้ทหาร
4    พล.1 รอ. ที่จะบุกมาจากทางแยก จปร. แล้วบุกเข้ายึดผ่านฟ้า เพื่อไป "รวมกันตี" คู่กับ พล.ร.2 รอ.อันโด่งดัง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ในเมื่อฝั่งฝ่ายเสื้อแดงก็มีทั้งทหารเก่าทหารแก่ และทหารแตงโมที่เชี่ยวการศึก และจบจากโรงเรียนเดียวกัน เรียนตำราเล่มเดียวกันมา วางกลยุทธ์ให้ และ เมื่อมีกระสุนพุ่งเข้าหัวคนเสื้อแดงแตกกระจุย  ทั้งเอ็ม 67 และเอ็ม 79 ก็ระดมใส่ทหาร ผ่านฟ้าลีลาศ อย่างที่ทหารกองพลที่ 2 ตั้งรับอย่างไม่เป็นกระบวน โดยลูกแรก หมายเด็ดหัวแม่ทัพนายกอง หยอดใส่วงประชุมจัดกำลังของบิ๊กอู๊ด พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.พล.ร.2 รอ. ที่กำลังถกกับผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพัน ทั้งเหล่าบูรพาพยัคฆ์ ทหารม้า และทหารรบพิเศษ 2 ลูกติดกัน จนทัพระส่ำแตกพ่าย เอารถสายพานฯ หนีได้แค่ 3 คัน ที่เหลือถูกยึด รวมทั้งทหารประจำรถและอาวุธต่างๆ เมื่อถอยร่นกันอุตลุต หิ้วลากร่างทหารทั้งที่ไร้วิญญาณและบ้างโชกเลือด ไม่ต่างจากคนเสื้อแดง
 การสูญเสียของทั้งสองฝ่าย ยิ่งสำหรับทหารแล้ว ถือว่าที่เสียชีวิต 6 คน บาดเจ็บอีก 230 คน สาหัส 90 คนนั้น มากกว่าสงครามครั้งใดเลยด้วยซ้ำ แถมนายทหารสัญญาบัตรสายเลือดเตรียมทหาร จปร. ทั้งตายและเจ็บ ที่สำคัญล้วนเป็น "ทหารเสือราชินี" ส่วน พล.ต.วลิต ขาซ้ายแตกหัก 3 ท่อน ที่ต้องดามเหล็ก  พ.ท.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผบ.ร.12 พัน 2 รอ. ที่สะเก็ดเอ็ม 79 ฝังในศีรษะเจาะสมอง แม้จะพ้นขีดอันตรายแต่ก็ไม่มีวันกลับมาเป็นผู้พันไก่คนเดิม  พ.อ.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผบ.ร.21 รอ.หน่วยทหารเสือราชินี ก็ถูกสะเก็ดฝังที่ต้นขา พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงษ์โสภณ ผบ.ม.พัน 3 รอ. ที่จู่ๆ ต้องมีสะเก็ดเอ็ม 79 ฝังอยู่ในขาทั้งสองข้าง โดยหมอไม่ผ่าออก เพราะเกรงกระทบเส้นประสาทกล้ามเนื้อ ไม่นับรวมระดับรองผู้การกรม ผู้พัน และรองผู้พัน ที่ล้วนเป็น จปร. อีกหลายคน  การศึกนี้ นอกจากแพ้พ่ายแล้ว ยังเสียขุนพล และเสียทหารไป 1 กองพล คือ พล.ร.2 รอ. ที่ต้องเรียกว่า "ละลาย" ไปเลย เพราะในจำนวนทหารที่บาดเจ็บกว่า 200 คนนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบูรพาพยัคฆ์   จึงไม่แปลกที่ พล.ต.วลิต จะรู้ตัวว่า ถูกหมายหัว โดยไม่มีทางเป็น “ คนที่ไม่ใช่ทหารเป็นอันขาด ”  เพราะมีการชี้เป้าก่อนที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะหยอดM 79 ลงตรงพอดีชนิดเรียกได้ว่า  “ ขั้นมหาเทพ ” แถมทั้งบรรดานายทหารที่แต่งกายต่างจากกำลังพลไปยืนรวมเป็นจุดใหญ่ ทั้งๆ ที่มีรถสายพานเป็นเกราะอยู่ จึงเป็นเสมือนการล้างแค้นที่ พล.ร.2 รอ. เคยปราบปรามเสื้อแดง ที่สามเหลี่ยมดินแดง จนได้รับยกย่องจาก ทบ. ไว้ด้วยนั่นเอง ไม่นับรวมความโดดเด่นของหน่วย ที่ในยุค 3 ป.นี้ถือเป็นยุคทอง ที่ทหารหน้าไหนก็พากันหมั่นไส้ จึงอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง บูรพาพยัคฆ์ พร้อมกันนั้นก็เป็นบทเรียนของสิงห์ตะวันออก ทั้งน้อยใหญ่ รวมทั้ง ป้อม - ป๊อก - ประยุทธ์ ด้วยนั่นเอง
     เมื่อก่อนหน้า 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ เคยปฏิเสธข้อเสนอของ นายอภิสิทธิ์ ที่ให้ยึดพื้นที่ราชประสงค์คืน ว่า "ทำไม่ได้ เพราะจะเกิดการสูญเสียทั้งเศรษฐกิจ ทรัพย์สิน และชีวิตของทั้งสองฝ่าย" แต่เห็นว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่แก้ด้วยการทหาร  และในภายหลัง 10 เมษายน พล.อ.อนุพงษ์ ถึงขั้นให้สัมภาษณ์ว่า "การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง" พร้อมเสนอให้ยุบสภา พร้อมทั้งยืนกรานว่า ทหารไม่ได้ "หน่อมแน้ม อ่อนแอ หรือเกียร์ว่าง" แต่ "ประเสริฐสุดยอด" ที่ไม่ยิงประชาชน  จะว่าไปแล้ว พล.อ.อนุพงษ์ เองก็เรียกไม่ได้ว่า ใส่เกียร์ว่างเมื่อเทียบกับเมื่อสมัยนายกชื่อสมัคร หรือ สมชาย เพราะ 10 เมษายน เขาเป็นผู้บัญชาการศึกด้วยตนเอง เป็นแม่ทัพเสียเองสั่งการตรงไปถึงผู้บังคับการกรมเองด้วยซ้ำ พล.อ.อนุพงษ์ เผยเองว่า พ.อ.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผบ.ร.2 รอ. โทรศัพท์มาขอถอนกำลังเพราะถูกระเบิดโจมตีทหารเจ็บหนัก รวมทั้งการขึ้น ฮ. บินดูสถานที่และจำนวนผู้ชุมนุมด้วยตนเอง   แต่ท่าทีโดยภาพรวมของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่ปรากฏและยิ่งเมื่อเสนอให้ยุบสภานั้น ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนรักอภิสิทธิ์ คนสีเหลือง แม้แต่ นายสุเทพ โดยเฉพาะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถึงขั้นเชียร์ให้ นายอภิสิทธิ์ ปลด ผบ.ทบ. แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ทหารเสือราชินีตัวพ่อ ที่กล้าได้กล้าเสียและพร้อมลุย ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.เลย แต่ นายอภิสิทธิ์ รู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และอะไรจะเกิดขึ้นหากทำเช่นนั้น
  แต่จะด้วยความที่เป็น "เด็กดื้อ" ของ นายอภิสิทธิ์ ประกอบกับความมั่นใจใน "กองหนุน" ทำให้เขาเอ่ยปากเหน็บแนมทหาร ที่ฟังแล้วไม่สบายใจ ทั้ง "เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ท้อแท้" หรือ "หากไม่ทำ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลอ่อนแอ แต่เป็นการสะท้อนความอ่อนแอของรัฐและความมั่นคงของประเทศ  ” แต่วิธีของนายอภิสิทธิ์ก็คือ การตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ ให้มาร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มตัว ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบฯ อันเป็นการมัดมือชกหรือบังคับไม่ให้หนีปัญหาอีกต่อไป จนร่ำลือกันว่าหาก พล.อ.อนุพงษ์ ยังนิ่งเฉย หรือกล้าๆ กลัวๆ รัฐบาลก็จะหาเหตุในการปลด แล้วตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบแทน
  จุดยืนของ พล.อ.อนุพงษ์ก็คือ หากเสื้อแดงก่อเหตุป่วนเมืองหรือไปยึดสถานที่อื่นๆอีก ก็คงยอมไม่ได้ ต้องมีการ ปะทะ ตายเป็นหลักร้อยหรือหลักพัน บาดเจ็บนับไม่ถ้วนแต่หากเสื้อแดงยังคงชุมนุมโดยสงบที่แยกราชประสงค์ ทหารก็จะไม่เข้าสลาย เพราะฝ่ายทหารสีแดงคงตั้งรับเต็มที่  และหากไม่มี "สัญญาณพิเศษ" หรือคำสั่งพิเศษจากเบื้องบนมา เขาก็จะประคองสถาน การณ์ไปเรื่อยๆ มิฉะนั้นชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ ก็จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติ ศาสตร์ที่ดำมืด และเป็น "ตราบาป" ไปตลอดชีวิตเพียงผู้เดียว  นาทีนี้ จึงไม่แปลกที่จะเกิดข่าวลือ การปฏิวัติรัฐประหาร มากยิ่งขึ้น ในเมื่อรัฐบาลคิดแต่จะโยนความรับผิดชอบภาระที่หนักอึ้งมาให้กองทัพ  ซึ่งฝ่ายการเมืองนั้นคิดแต่จะแก้ปัญหาการเมืองด้วยการทหาร โดยไม่สนใจว่านายทหาร, พลทหาร, หรือเสื้อแดงจะตายอีกกี่คน เพราะมองว่าเป็นหนามยอกอก ด้วยการประโคมเรื่อง การก่อการร้ายมาเป็นข้ออ้างในการปราบปราม  แต่เพราะทหารไม่อาจนั่งบัญชาการจากห้องแอร์ได้อย่างนักการเมือง แต่ต้องลงไปเสี่ยงกับลูกน้องด้วยความห่วงใยของ “ ทหารอาชีพ ” ที่แต่ต่างจากนักการเมืองโดยสิ้นเชิง
   
               โลกทั้งใบ จึงขึ้นอยู่กับ "นาย" คนเดียว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

ประมวลข่าวจาก
มติชน
ข่าวสด
สยามรัฐ
ไทยรัฐ
CNN



จากคุณ : ร่ำสุราริมน้ำตามลำพัง

 
 

จากคุณ : ด่างดำ
เขียนเมื่อ : 24 เม.ย. 53 00:12:30 A:125.24.180.112 X:




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com