 |
Mango Republic
|
|
ผมเจ็บครับ คนอื่นอาจไม่เจ็บแต่ผมเจ็บก็เลยขอเอามาฝากให้ท่านที่เคารพนับถือได้อ่านมุมมองของฝรั่งที่เขามองพวกเรากันบ้าง
ผมไม่เหลืองไม่แดงหรอก เป็นแค่คนไทยคนหนึ่งที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข พี่น้องของผมไม่ต้องมาด่าทอต่อว่าฆ่าฟันกันเอง ชีวิตของผมได้เห็นได้ยินคนไทยฆ่ากันเองมาตั้งแต่ 14 ต.ค.16, 6 ต.ค.19 ตลอดจนพฤษภาทมิฬ ได้เห็นได้สัมผัสคนไทยที่ตายในป่าในเขามามากมาย บางคนตายคาอ้อมอกของผม
มากพอแล้วครับ อย่าให้มีอีกเลย
ทุกครั้งที่ได้ข่าว มันปวดเข้าไปในหัวใจ นี่ผมอุตส่าห์ช่วยรักษาบ้านเมืองรักษาแผ่นดินไว้เพื่อส่งต่อให้ใคร? ทำไมทำกันอย่างนี้?
บทความที่ว่านี้อ่านแล้วก็สะท้อนใจ เขามองบ้านเราว่าเป็นประเทศมะม่วง พอกับประเทศกล้วย
อ่านมาจากบทความในนิตยสาร Time ฉบับ 26 เม.ย.2010 โดย Hannah Beech ก็เลยแปลเอามาฝากเพื่อท่านที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง สำหรับท่านที่ต้องการจะดูต้นฉบับเชิญตามลิงก์ไปนะครับ
http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,1982226,00.html
("Thailand's Broken Democracy" Hannah Beech, Time magazine, Monday Apr 26, 2010)
เมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็กอยู่ในกรุงเทพ เราเคยมี "วันรัฐประหาร" อยู่หลายครั้ง โรงเรียนเราปิดเพราะเกรงไม่ปลอดภัยเนื่องจากมีรถถังมาวิ่งอยู่ตามถนน ฉันชอบที่ได้หยุดเป็นพิเศษอย่างนี้ แต่ความจริงที่ว่าการรัฐประหารหรือข่าวลือว่าจะรัฐประหารมันเกิดขึ้นบ่อยๆจนทำให้เกิดวันหยุดชนิดพิเศษได้อย่างนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าการเมืองของประเทศไทยนั้นไร้เสถียรภาพเพียงใด อีกสามสิบปีต่อจากนั้นมาก็ยังแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักในประเทศแห่งนี้ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมแห่งหนึ่งของโลกสำหรับการมาพักผ่อนท่องเที่ยว ยามที่ผู้ชุมนุมเสื้อแดงมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลได้ร่วมเดือนแล้วนี้ โรงเรียนของลูกชายฉันก็ต้องถูกปิดๆเปิดๆอยู่เรื่อย และเกมที่คนชอบเล่นในเมืองหลวงของประเทศไทยก็ยังคงเป็นเกมเดิม: ทายซิว่าพวกชุดเขียวจะเคลื่อนไหวเมื่อไหร่
ในอนุกรมวิธานทางการเมืองแบบง่ายๆที่เราใช้จำแนกประเทศต่างๆนั้น เขาถือว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถึงไม่ได้เป็นประเทศที่รัฐประหารกันบ่อยแบบประเทศในอเมริกาใต้ที่สินค้าออกสำคัญคือกล้วยอย่างที่เรียกกันว่า "บานานา รีปับลิค" แต่ว่าประเทศไทยก็น่าจะถือว่าเป็นประเทศที่เปรียบเหมือนมะม่วงที่สุกงอมจนเละตุ้มเป๊ะจนเรียกว่าเป็น "แมงโก รีปับลิค" ได้เหมือนกัน ตลอดสี่ปีที่ผ่านมามีกลุ่มการเมืองสองค่ายที่พอจะแยกแยะได้คร่าวๆว่าแตกต่างกันเพราะชนชั้นและภูมิศาสตร์ได้ผลัดกันเข้ามามีอำนาจเป็นรัฐบาลอย่างรวดเร็วปานลมสลาตัน ต่างก็มีหัวริเริ่มคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆในการประท้วงออกมาเรื่อยๆตลอดจนการบิดเบือนสถาบันต่างๆในระบอบประชาธิปไตยเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ (ดูภาพจากการประท้วงเมื่อ เม.ย.2552)
สถานการณ์ที่พลิกผันกลับไปกลับมาของการเมืองไทยในระยะหลังๆนี้เปรียบกันแล้วแม้แต่วรรณกรรมระดับมหากาพย์ของตอลสตอยดูเป็นเรื่องง่ายไปเลย ต่อไปนี้เป็นการสรุปประเด็นสำคัญๆ เมื่อปี 2549 หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามซึ่งสวมเสื้อเหลืองเป็นสัญลักษณ์ได้เดินขบวนประท้วงอยู่หลายเดือน นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ผู้ยึดนโยบายประชานิยมก็ได้ถูกโค่นล้มโดยการกระทำรัฐประหารของทหาร และถูกพิพากษาลงโทษข้อหาใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบทั้งที่ตัวเองไม่อยู่ หลังจากที่เหล่านายพลทั้งหลายพยายามจะบริหารประเทศแต่ไปไม่รอด ก็ได้ยอมให้มีการเลือกตั้ง เลือกปุ๊บ พรรคที่ทักษิณหนุนหลังอยู่ก็ชนะปั๊บ แต่นายกรัฐมนตรีก็ถูกบังคับให้ต้องสละเก้าอี้โดยคำตัดสินของศาลเนื่องจากว่าได้ไปรับเงินค่าตอบแทนแต่พอเป็นพิธีสำหรับการเป็นผู้ดำเนินรายการทำอาหาร ต่อมา น้องเขยของทักษิณได้เป็นผู้กุมบังเหียนรัฐบาล ฝ่ายเสื้อเหลืองซึ่งได้เข้าปิดล้อมโจมตีทำเนียบรัฐบาลมาหลายเดือนแล้วก็หันมาใช้กลยุทธ์เข้ายึดท่าอากาศยานสองแห่งของกรุงเทพฯไว้สัปดาห์หนึ่ง
สถานการณ์ยันกันทางการเมืองนี้ผ่อนคลายลงได้ใน ธ.ค.2551 ต่อเมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของทักษิณด้วยข้อหาโกงการเลือกตั้ง เป็นการปูทางให้นายกฯคนปัจจุบันคือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นสู่ตำแหน่งได้โดยอาศัยการต่อรองกันหลังฉากในรัฐสภา ตั้งแต่นั้นมา ฝ่ายเสื้อแดงผู้สนับสนุนทักษิณก็ยกขบวนมาเยือนถนนของกรุงเทพฯเป็นระยะๆ เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่โดยความหวังว่าจะได้ผู้นำคนใหม่ที่เข้ามาแก้ปัญหาที่เป็นเรื่องเดือดร้อนของประชาชนที่เป็นคนชั้นล่างของสังคม การรวมตัวกันครั้งล่าสุดของฝ่ายเสื้อแดงเมื่อ 10 เม.ย.กลับเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ฝ่ายผู้ประท้วงและทหารสาดกระสุนแลกกันภายใต้ร่มเงาของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในกรุงเทพ เป็นเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดของประเทศไทยในรอบเกือบสองทศวรรษ มีผู้เสียชีวิต 23 คนทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ครั้นแล้ว เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ก็มีคำประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ออกมาในจังหวะที่ดูพิลึก คำประกาศนั้นเสนอแนะให้มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ด้วยข้อหารับเงินบริจาคอย่างผิดกฎหมายเพื่อสนับสนุนการรณรงค์เลือกตั้งของพรรค (อ่าน "ทหารไทยฟังคำสั่งของรัฐบาลหรือเปล่า?")
เป็นเรื่องประหลาดว่าโดยทั่วไปแล้วกรุงเทพฯกลับดูปกติแม้แต่ในยามที่จำอวดการเมืองฉากนี้ค่อยเล่นกันอยู่ เมื่อต้นเดือนนี้ อภิสิทธิ์ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองหลวงหลังจากที่ฝ่ายแดงรวมตัวกันมากขึ้นและมีการขว้างลูกระเบิดลึกลับทั่วเมือง แต่ร้านอาหารก็ยังมีคนแน่น บาร์ก็ยังอึกทึกเหมือนเดิม เสียงโวยวายจริงๆดูเหมือนจะเกิดตอนที่ผู้ชุมนุมประท้วงสวมหัวใจสิงห์มุ่งมารวมกันใกล้ศูนย์การห้าหกแห่ง ยังผลให้กิจกรรมการจับจ่ายบำบัดต้องชะงักลง
ถึงอย่างไร การไร้ขื่อแปทางการเมืองที่มากขึ้นเรื่อยๆเป็นสิ่งที่สร้างความวินาศแก่เศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง และเหตุการณ์นองเลือดเมื่อ 10 เม.ย.ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ นักลงทุนต่างชาติต่างกำลังมองหาตัวเลือกอื่นในภูมิภาคนี้เช่น อินโดนีเซีย หรือ เวียตนาม ว่าเป็นที่ปลอดภัยกว่าสำหรับการเอาเงินของเขาไปพำนัก เมื่อ 12 เม.ย. กระทรวงการคลังของไทยได้ปรับลดตัวเลขประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงครึ่งเปอร์เซนต์จากที่เคยทำนายไ้ว้เดิม 4.5 เปอร์เซนต์ สืบเนื่องจากวิกฤตที่กำลังดำเนินอยู่นี้ ในวันเดียวกันนั้น ผู้สนับสนุนคนสำคัญของคณะรัฐบาลผสมของนายอภิสิทธิ์ คือผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ให้ข้อคิดเห็นว่าการยุบสภาแล้วตามด้วยการเลือกตั้งน่าจะเป็นหนทางที่ฉลาดทางหนึ่ง ฝ่ายเสื้อแดงเฮกันลั่น พวกเขาเชื่อว่าตนจะชนะในการเลือกตั้ง แต่ฝ่ายเสื้อเหลืองโผล่มาจากที่ซ่อนอย่างรวดเร็วและประกาศแผนที่จะออกมาเดินขบวนประท้วงบ้าง
เช่นเคย กรุงเทพฯลือกันให้แซ่ดว่ากองทัพบกอาจจะยื่นกำปั้นเหล็กเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง อย่างน้อยก็เพื่อปิดประตูการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนน ฉันสังหรณ์ว่าลูกชายของฉันคงได้หยุดโรงเรียนวันรัฐประหารอีกหลายวัน
อ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,1982226,00.html#ixzz0lwjX20pZ
จากคุณ |
:
แอ๊ด ปากเกร็ด
|
เขียนเมื่อ |
:
24 เม.ย. 53 02:50:48
A:124.122.11.218 X:
|
|
|
|  |