ความคิดเห็นที่ 1 นายเสนาะ กล่าวว่า หากต้องการจะรู้ทันทักษิณ ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนอย่างไร เพราะลักษณะเฉพาะและตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการใช้อำนาจและบริหารราชการแผ่นดินของ ทักษิณทั้งหมดนั้นประกอบขึ้นมาเป็นระบอบทักษิณ ซึ่งมีทั้งระบบการใช้อำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์อยู่ร่วมกัน พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนมีวุฒิการศึกษา แต่ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ ไม่มีสภาวะผู้นำ โดยเฉพาะในระดับประเทศ เป็นคนไม่มีประสบการณ์ในการบริหารราชการ แม้เคยรับราชการตำรวจ ก็อยู่ไม่นานและใช้เวลาว่างไปกับการประกอบธุรกิจ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักเสี่ยงโชค ขาดความรอบคอบ เคยประสบปัญหาทางธุรกิจ แลกเช็คและถูกฟ้องเช็คเด้ง นิยมบริหารธุรกิจแบบคิดไวทำไว โดยใช้การตลาดเป็นเครื่องมือ " การจดทะเบียนคนจนนั้น ผมเคยแนะนำว่ามันทำไม่ได้ ไปประกาศเฉยๆ ไม่ได้ เอามาขึ้นทะเบียนเฉยๆ คนที่เป็นหนี้สินอยู่ที่ไม่ใช่คนจนก็ไปจดทะเบียนด้วย มันจะบานปลายไปใหญ่ พี่ไม่เห็นด้วย มองด้วยจิตสำนึกมันปฏิบัติไม่ได้ มันได้แค่โชว์ตัวเลขตอนเลือกตั้งจากนั้นไม่มีผลจริง แต่ทักษิณตอบว่า โธ่...พี่เหนาะ คนตาบอดมันกลัวเสือเหรอ ถ้าเราไม่พูดแบบนี้เราจะได้เสียงเหรอ เขาพูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้จริงใจกับนโยบาย ประกาศไปก่อนค่อยหาวิธีการทำการตลาดทีหลัง ไปเสี่ยงเอาข้างหน้าขอให้ได้คะแนนเสียงไว้ก่อน ไม่สนวิธีปฏิบัติราชการ แม้แต่โครงการ เอสเอ็มแอล ผมก็เตือนว่าเข้าข่ายซื้อเสียง เพราะอยู่ในภาวะเลือกตั้ง ทักษิณตอบว่าโธ่...อำนาจอยู่ที่เรา กกต.ก็ของเรา คนก็บอกเรา ล่าสุดก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 มีการกระทำผิดกฎหมาย คือขนคนมาฟังการปราศรัยโดยจ้างมา มันผิดกฎหมายแน่นอน แต่ กกต.กลับเฉย" นายเสนาะกล่าว จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:08:58 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 2 นายเสนาะ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคยบอกรัฐมนตรีในรัฐบาลว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก ขอให้ทำตามก็พอ หากรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่คิดมาก รอบคอบ คอยตักเตือนจะอยู่ไม่ได้เลย คนที่อยู่ได้จะต้องตอบ "เยส" อย่างเดียว เช่น นายพินิจ เคยพูดว่า "ท่านนายกฯ ผมไม่เคยเห็นใครคิดได้ดีเท่านี้เลย" หรือ นายเนวิน ก็มักพูดว่า "ดีนายๆ" ด้วยเหตุนี้รัฐมนตรีบางคนในช่วงเทศกาลเลือกตั้ง มักมีบัตรเลือกตั้งที่พิมพ์เกินอยู่เต็มรถ จึงได้รับการฟูมฟักอย่างดี เหนียวแน่น ถูกเรียกใช้งานบ่อยๆ ในช่วงหลัง นายเสนาะ กล่าวว่า ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ระบบธุรกิจครอบครัวมาจัดการผลประโยชน์ในรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ขนคนที่เคยทำงานกับตัวเองในบริษัทแบบยกชุด วางคนของตัวเอง ไปในทุกกระทรวง โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ แต่ทุกคนในกระทรวงจะรู้ดีว่า คนๆนี้คือคนของเขา จะทำอะไรก็ต้องผ่านคนคนนี้ เรียกว่ามีสองสามคนไปดูแลผลประโยชน์ทุกกระทรวง เป็นเสมือนหลงจู๊ แล้วยังส่งคนไปยึดตำแหน่งใน กมธ.ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนฯ ใน ครม.ก็ไม่ต่างกัน ทุกโครงการที่จะมีการอนุมัติ ถ้ารัฐมนตรีคนไหนเสนอเรื่องขอใช้งบกลางที่จัดสรรไว้มหาศาล ก็ต้องไปเคลียร์กับคนของเขาให้เรียบร้อยก่อน รัฐมนตรีหลายคนจะมีคนของเขาเข้ามาบอกว่าเดี๋ยวทำงบฯ จะเอากี่พันล้าน แต่ต้องเอาเข้าพรรค 10 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าจะไปทำอะไรขึ้นมาก็ได้ ไปเขียนโครงการมา นายเสนาะ กล่าวว่า ถ้ารัฐมนตรีคนไหนทำไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ เวลาทำโครงการก็ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เป็นคนของตัวเอง แล้วใช้วิธีที่เก่งที่สุดคือ ยกเว้นระเบียบพิเศษ ยิ่งใช้วิธีขีดเส้นตายว่าต้องเสร็จวันนั้นวันนี้ เหมือนกรณีสนามบินสุวรรณภู มิ เพื่อจะได้ใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ นโยบาย 10 เปอร์เซ็นต์ รัฐมนตรีต้องทำโครงการ โดยตบแต่งงบประมาณขึ้นมาก่อนว่ามูลค่าของโครงการจะครอบคลุม 10 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องหักเข้าพรรค จากนั้นไปตกลงกับคนของเขาผ่านคุณหญิง เมื่อเรียบร้อยเมื่อใดก็ส่งมาให้ตัวตายตัวแทนทางการเมืองที่เขาไว้ใจ พอเข้า ครม. นายกฯ จะเสนอโครงการและอนุมัติให้เองเสร็จสรรพ รัฐมนตรีไม่ต้องคิดไม่ต้องสงสัย ทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ใครเข้าใจว่า 10 เปอร์เซ็นต์มีอยู่เท่าไร คงต้องไปถามคุณหญิง จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:09:37 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 3 นายเสนาะ กล่าวว่า สิ่งที่สุดทนจริงๆ คือ กรณีผู้ว่าฯ สตง.. ที่ถูกแทรกแซงการทำงาน แทรกแซงองค์กรอิสระ และละเมิดพระราชอำนาจ มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่สำคัญ ที่ทำให้ตนลุกขึ้นอภิปรายเมื่อ 8 มิ.ย.2548 การประกาศตัดขาดแตกหักกลางสภาฯ พูดได้ว่า ถ้ามันเอาชีวิตได้มันเอาไปแล้ว มันแค้น แต่ก็ไม่กล้า ตอนหลังคนของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ติดต่อมาหลายครั้ง ตนพูดตรงๆ ไปว่า เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อไม่ยอมลดละเอง จนเราต้องแตกหักไปสู่สาธารณชนแล้ว สิ่งสำคัญนายกฯก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาทั้งหมดให้ได้ และตนยังพูดอีกว่า ถ้าบอกจะกินข้าวกันตอนนี้ มันยังไงล่ะ ให้พี่เป็นผู้เป็นคนดีกว่าอย่าให้พี่เป็นหมาเลย นายเสนาะ กล่าวว่า ก่อนที่จะเกิดปัญหาทั้งหมดตนก็พยายามไปเตือน แต่เรื่องที่เตือนก็เป็นการขัดผลประโยชน์เขาทุกเรื่อง เช่นคิดว่ารัฐมนตรีคอรัปชั่น ตนก็ไปเตือนเพราะคิดว่าไม่รู้ ที่ไหนได้มันสั่งเอง ขนาดกลายเป็นว่ารัฐมนตรีคนไหนไม่ทำตามสั่ง ภายหลังก็อยู่ไม่ได้ ความขัดแย้งในปัจจุบันมาสาเหตุมาจากตัวปัญหาคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ คนคนนี้โกงเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ เมื่อมีอำนาจก็โกงอีก อันตรายต่อบ้านเมืองสุดๆ พ.ต.ท.ทักษิณน่ากลัวเพราะเป็นคนมีวุฒิการศึกษา จ้องวางแผนเอาเปรียบคนอื่น ถือว่าต่ำต้อยเหลือเกินในการเป็นผู้นำประเทศ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:10:04 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 4 "ผมจำคำพูดของทักษิณที่เคยบอกว่า พี่เหนาะผมพอแล้ว สมบัติส่วนหนึ่งผมให้ลูก อีกส่วนเก็บไว้สำหรับตายาย กินจนตายก็ไม่หมด สมบัติอีกส่วนจะทำเพื่อบ้านเมือง จะใช้หนี้แผ่นดิน" คำพูดนั้นๆ ผมเคยหลงคิดว่าคนคนหนึ่ง รวยแล้วกลับใจ คิดใช้หนี้แผ่นดิน ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้วว่า รวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเมืองเพื่อเอาประกัน คนรวยคนนี้รวยแล้วไม่รู้จักพอ ไม่ใช่หนี้แผ่นดินยังไม่พอ มันยังโกงกิน ทรยศต่อแผ่นดิน" นายเสนาะกล่าว และว่า ตนเคยพูดและเตือนกับคุณหญิงอ้อว่า "น้อง ถ้ามันได้มาอีกแสนล้าน เอาไปทำไม" เขาพากันตอบว่า "ก็รู้ แต่ในเมื่อเล่นการเมืองมันต้องควักเงิน ก็ต้องถือว่าเป็นธุรกิจ" เคยเตือนหนักๆ ถึงขั้นว่า "ในอนาคต ถ้ามันจะเดือดร้อนหนักๆ คือคนเป็นหัวนะ" เขาก็ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า "ก็รู้ ถ้าพี่ทักษิณจะลง ต้องให้พรรคไทยรักไทยมีอำนาจอย่างน้อยสองสมัยถึงจะปลอดภัย" จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:11:02 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 5 อาจมีคนมาโพสต์แล้วนะครับ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:14:57 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่อง insider ลดค่าเงินบาท - ทักษิณจะรู้หรือไม่ก็ตามแต่... แต่ข้อเท็จจริงคือ เขาซื้อดอลล์ตุนไว้นานแล้ว ต่อให้รู้จริง ก็คงเป็นรู้หลังซื้อ ชวนตั้ง ศปร. มาเพื่อสอบหาเอาผิดเรื่องนี้ แ่ต่ก็เอาผิดใครไม่ได้ เรื่องตั้งผู้ว่า สตง. - นังเป็ดมัน TOR LAE จาบจ้วง อ้างพระปรมาภิไทมาคุ้มหัวตัวเอง ( ทั้งๆที่ความจริงแล้ว เรื่องนี้ความรับผิดชอบอยู่ที่ผู้รับสนองฯ ) เลวมากครับ... ถ้าเล่นห้่องนี้มาระยะหนึ่ง แล้วหัดอ่านกระทู้ที่เขาถกกันเรื่องข้อมูลบ้าง ก็คงจะไม่มาถามอะไรแบบนี้ครับ... จากคุณ : SaVor เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:24:38 A:124.122.68.8 X:

ความคิดเห็นที่ 8 beegs ดีกว่ายังไงครับ ถ้าคุณว่าไม่ดีแล้วคุณต้องการคนไม่ดีอย่างนี้หรือเปล่าครับ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:24:36 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 9 ทักษิณคือคนไม่ดี อภิ่สิทธิ์คือคนชั่ว สุเทพคือคนชั่วช้าเลวทราม จากคุณ : เพียงพอเพื่อพอเพียง เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:26:29 A:124.121.106.159 X:

ความคิดเห็นที่ 10 คุณเพียงพอเพื่อพอเพียง ทักษิณคือคนไม่ดี อภิสิทธิ์คือคนชั่ว สุเทพคือคนชั่วช้าเลวทราม -- ยังไงครับ ช่วยอธิบายเหตุผลและความแตกต่างของคำคุณศัพท์ที่คุณจัดให้แต่ละท่านมาด้วยครับ และช่วยบอกเกณฑ์การจัดประเภท/จัดลำดับคำคุณศัพท์เหล่านี้ของนักการเมืองมาด้วยครับ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:35:54 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 11 มาตอบกันเยอะๆ ครับ ด้วยเหตุผลทางวิชาการที่กว้างขวางและด้วยจิตที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:45:03 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 13 คุณอยากรู้ว่าเธอคือใคร ครับ "อยู่มา 64 ปี เลือกตั้งมากี่สมัย ชาวบ้านไม่เลือก" เอาหลักฐานมาหน่อยครับ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:51:56 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 14 #4 จากคุณ : tarthewise     เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:11:02 A:202.47.237.156 X:   ถูกใจ : รักเสมอแม้ไม่ได้เจอก็คิดถึง สิ่งที่เค้าโกงชาติอะไรคับ ถ้าหุ้น มีคำอธิบายไว้เยอะแล้ว ทั้ง อ.วรเจตน์ ได้ศึกษาทางกฏหมายแล้วว่า ไม่ได้กีดกันทางการตลาดแต่อย่างใด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มาตรฐานเดียวกัน แล้ว ปตท.ล่ะ เจริญโภคภัณน์ ล่ะ ธ.กรุงเทพ ล่ะ ซู ทำไม ไม่ยึดมันบ้าง จากคุณ : มีชื่ออื่นไหม เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 19:55:20 A:118.174.51.17 X:

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่เชื่อเสนาะครับ จากคุณ : xlt เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:01:00 A:125.26.174.235 X:

ความคิดเห็นที่ 16 ส.ส. ปชป. จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:01:18 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ มีชื่ออื่นไหม ครับ นอกจากเชื่อ อ. วรเจตน์ ที่พยายามหาช่องทางกฎหมายแล้ว แล้วสำหรับ ดร. สมเกียรติล่ะครับ เขาและนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์หลายคนหลายชาติบอกว่าเจตนากีดกันชัดเจน จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:05:49 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 19 นอกจากเชื่อ อ. วรเจตน์ ที่พยายามหาช่องทางกฎหมายแล้ว แล้วสำหรับ ดร. สมเกียรติล่ะครับ เขาและนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์หลายคนหลายชาติบอกว่าเจตนากีดกันชัดเจน จากคุณ : tarthewise     เฮ้ยๆ มันคนล่ะประเด็น อ้ายเกียดมันแถไปที่ 3จี แต่ ประเด็นอยู่ที่ 2จี อ้ายบ้า เปิด Youtube วาทะกรรมระหว่างสองท่านดู ไป๊.. มันจะไม่แพร์สำหรับ อ้ายเกียด ถ้าเอาข้อกฏหมายมาดูว่ามีในสำนวนที่มันแถไหม จากคุณ : มีชื่ออื่นไหม เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:30:29 A:118.174.51.17 X:

ความคิดเห็นที่ 20 สัมภาษณ์พิเศษ ก่อนหน้านี้ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ให้สัมภาษณ์เรา ครั้งหลังสุดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลฎีกาฯในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน ซึ่งเนื้อหาบางตอนได้พาดพิง ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบัน มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ล่าสุด นักวิชาการหนุ่มจากทีดีอาร์ไอ เปิดใจชี้แจงทางวิชาการถึง ดร.วรเจตน์ ผ่านสื่อด้วยไมตรีจิตที่ดี จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:36:30 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 21 บทวิเคราะห์ของอาจารย์วรเจตน์และเพื่อนอาจารย์ที่พาดพิง ดร.สมเกียรติ อาจารย์เห็นไม่ตรงในส่วนไหนบ้าง ต้องบอกก่อนครับว่า ผมนับถืออาจารย์วรเจตน์ โดยส่วนตัวเป็นเพื่อนกัน เคยร่วมงานกัน ถึงแม้ไม่ได้เจอกันบ่อย แต่ผมคิดว่าอาจารย์วรเจตน์เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความ กล้าหาญ ผมคิดว่า การที่คนกลุ่มหนึ่ง เช่น 5 อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ จะออกมาสวนกระแสสังคมในเรื่องที่คนจับตามองเยอะ ผมเห็นว่าเป็นความกล้าหาญ เป็นเรื่องที่ผมให้เครดิต แล้วงานของทีม 5 อาจารย์ โดยเฉพาะอาจารย์วรเจตน์ ที่ผ่านมา หลายเรื่องผมอ่านแล้วได้ความรู้ดี เช่น การวิเคราะห์เรื่องการอุทธรณ์ในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นอุทธรณ์จริงหรือเปล่า ตามกฎหมายอุทธรณ์ ประเด็นนี้ผมอ่านแล้วได้ความรู้ ฉลาดขึ้นเยอะ ก็เลยดีใจที่ได้แลกเปลี่ยนกับอาจารย์วรเจตน์ และผมคิดว่าอาจารย์น่าจะดีใจ เพราะเป็นคนชอบวิชาการเหมือนกัน และผมเชื่อเจตนาดีของอาจารย์วรเจตน์ แต่มีประเด็นที่อาจารย์พาดพิงผมเล็กน้อยว่า ผมคิดเอาเอง หรือฟังผู้ประกอบการหรือเปล่า ไม่ได้ฟังอีกซีกหนึ่ง ผมเล่าให้ฟังว่า ผมทำงานวิจัยนโยบาย จะมีคนมาเจอผมเยอะมาก และเจอก็ด้วยหลายจุดประสงค์ ถ้าพูดภาษาบ้าน ๆ หน่อย ก็คือมาล็อบบี้ ซึ่งล็อบบี้ไม่ได้แปลว่าอะไรไม่ดี แต่คือการให้ข้อมูลในมุมของเขา ฉะนั้น ผมอยู่เฉย ๆ ก็จะมีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เข้ามาเจอเต็มไปหมด เช่นล่าสุด ทำกฎหมายอยู่ในสภาก็จะมีคนมาถามว่า กฎหมายเสร็จเมื่อไหร่ ออกมาแล้วใครกระทบ ยังไง จะมีเปลี่ยนหน้ามาหลายบริษัท นักวิเคราะห์หลักทรัพย์พวกนี้ก็คือคนที่ไปคุยกับบริษัทโทรคมนาคม และเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะว่าเขาต้องบอกว่า นักลงทุนจะเอาเงินไปลงบริษัทไหน แล้วมันจะได้เงิน หรือเสียเงิน หรือเรื่องอะไร ฉะนั้น พวกนี้ไม่ใช่พวกมั่ว จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:36:41 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 22 มีโอเปอเรเตอร์มาคุยกับผมด้วย เขาอยากจะแชร์ไอเดียในมุมของเขาว่าเขาคิดอย่างนี้ บางคนก็มากับไอเดียว่า อยากจะแปรสัญญาอย่างโน้น อยากจะทำอย่างนี้ ก็มาเรื่อย ๆ แล้วก็ไปเจอตามเวทีต่าง ๆ อีกเยอะแยะ ฉะนั้น ผมไม่ได้นั่งอยู่ในตู้ หรือนั่งเดา (หัวเราะ) ล่าสุด เมื่อมีคำพิพากษาออกมา มี ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของโอเปอเรเตอร์มาบอกว่า อาจารย์วิเคราะห์ได้ถูกต้องเรื่องกีดกันการแข่งขัน มาบอกว่าเห็นด้วย อย่างยิ่ง ซึ่งผมก็อธิบายที่มาที่ไปการวิเคราะห์เป็นอย่างไร ผมคิดว่า มีข้อเท็จจริงที่อยากให้อาจารย์วรเจตน์และทีมดูด้วย ส่วนหนึ่งของความพยายามของศาลในการตัดสินคดีนี้ ผมคิดว่าคำตัดสินจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบคงไม่ใช่ ผมเองอ่านแล้วก็มีเครื่องหมายคำถามบางจุด ยังมีบางจุดที่คิดว่า จุดนี้ ถ้าตัดสินแบบเดียวกัน แต่ให้เหตุผลให้หนักแน่นขึ้น ก็จะดีขึ้น หรือถ้าอธิบายละเอียดขึ้น ก็จะดีขึ้น แต่ผมคิดว่า ความพยายามของศาล ในการรวบรวมหลักฐานออกมา ผมเห็นหลายจุดที่ผู้ที่จะตั้งเครื่องหมายคำถามกับศาล ควรจะต้องตอบประเด็นพวกนี้ด้วย เช่น ต้องอธิบายความเป็นมาการแปรสัญญาก่อนมีภาษีสรรพสามิต เรื่องวิทยานิพนธ์คุณบุญคลี (ปลั่งศิริ) เรื่องหนังสือของสมาคมโทรคมนาคม เรื่องหมอเลี้ยบ (น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) ไปพูดเรื่องบริการอย่างทั่วถึง ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย อย่างนี้คุณอธิบายยังไงกับตรรกะ ผมแปลกใจจริง ๆ ในการวิเคราะห์ของอาจารย์ 5 คนในเรื่องการซุกหุ้น ซึ่งเขียนบอกว่า ต้องดูทั้งรูปแบบและเนื้อหาประกอบกัน แล้วก็ไปสรุปว่าไม่ใช่ประเด็นหลัก และใช้เนื้อหาที่พูดเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญมากเพียง 10 บรรทัด 11 บรรทัด แล้วก็ผ่านไปเฉย ๆ บอกว่าไม่ใช่ประเด็นหลัก แล้วไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงไม่ใช่ประเด็นหลัก ถ้าจะอนุมานก็คือท่านบอกว่าที่ไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะว่าดูต่อไปสิ ไม่ได้เอื้อสักเรื่อง ฉะนั้น เอื้อแล้วไปเป็นเงิน ของใครมัน จึงไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ผม คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าจะเปรียบเทียบแล้ว เหมือนกับมีเหตุการณ์หนึ่ง คุณสงสัยว่าคนจะเข้ามาบ้าน มาขโมยของคุณหรือเปล่า เห็นแวบ ๆ คล้าย ๆ ใส่หน้ากากหรือเปล่า เวลาจะดูว่าคนเหล่านั้นมีแรงจูงใจยังไง ใส่หน้ากากหรือไม่ใส่หน้ากากมันสำคัญด้วย จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:37:26 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 23 ซุกหุ้นหรือไม่ซุกหุ้นก็สำคัญโดยนัยเดียวกันว่า ถ้าเป็นเงินของเขาหรือทรัพย์สินของเขา แล้วเขาไม่เปิดเผย เขามีแรงจูงใจอะไรหรือเปล่า แล้วมันจะเปลี่ยนพลอตของนิทานที่อาจารย์วรเจตน์เล่าก็เป็นเวอร์ชั่นหนึ่ง ที่ศาลตัดสินก็เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เพราะอาจารย์วรเจตน์และคณะบอกว่าเราไม่สนใจว่าคนเหล่านี้ใส่หน้ากากมาเล่นหนังหรือเปล่า ฉะนั้นจึงดูเหมือนว่ามีพิรุธตั้งแต่เรื่องหน้ากากแล้ว แต่ถ้าไปบอกว่าไม่สนใจ หน้ากาก แล้วที่เหลือก็บอกว่าจะทำอะไรเป็นดุลพินิจของคนเหล่านั้น ซึ่งเรื่องอย่างนี้จะปรากฏตามความเห็นของคณะอาจารย์ ทั้ง 5 ท่าน เช่น พูดเรื่องภาษีสรรพสามิต ก็บอกว่ารัฐบาลแต่ละขณะมีดุลพินิจที่จะปรับอัตราภาษีขึ้นเท่าไหร่ก็ได้ หรือกรณี prepaid ก็มีดุลพินิจของหน่วยงาน กรณีเอ็กซิมแบงก์ ก็มีดุลพินิจว่าจะให้เงินกู้พม่าหรือไม่ให้การใช้ดุลพินิจท่ามกลางบริบทที่เขาเป็นเจ้าของกิจการ แล้วเขาจะได้ประโยชน์จากการทำ จากการใช้ดุลพินิจ กับการที่เขาไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการใช้ดุลพินิจมันคนละเรื่องกันแลยนะครับ ฉะนั้นประเด็นนี้จึงไม่ใช่ประเด็นที่จะสามารถ ผ่านไปได้ 10 หรือ 11 บรรทัด แล้วบอกว่าไม่ใช่ประเด็นหลักได้ ถ้าพูดเปรียบเปรย เหมือนกรณีในคดี ไอพีสตาร์ มันเป็นดาวเทียมหลักหรือดาวเทียมสำรองเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ สรุปแบบกระทรวงคมนาคมว่า ตกลง หลักก็ได้ สำรองก็ได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ คืออยู่ ๆ ก็ดำน้ำหนีไปเฉย ๆ คงไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ คงต้องตอบกันว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ แล้วต้องกลับไปดูเจตนารมณ์ของกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ห้ามถือหุ้นในสัมปทาน เป็นเพราะอะไร เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนเรื่องต่าง ๆ พวกนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหยิบมาพูด ผมอยากให้อาจารย์ทั้ง 5 ท่านอธิบายเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ทำไมจึงไม่สำคัญ หลังจากนั้นแล้วช่วยพูดว่า ไม่ว่าสำคัญหรือไม่สำคัญในสายตาของท่าน ท่านคิดว่าคุณทักษิณซุกหุ้นหรือไม่ เพราะอะไร เพราะแม้แต่ตุลาการเสียงข้างน้อยในทุกเรื่อง ก็ยังมองประเด็นนี้กับเสียงข้างมาก ก็คือเห็นว่าเป็นการซุกหุ้นจริง จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:37:48 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 24 อาจารย์วรเจตน์มองว่า การบอกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของทักษิณทั้งหมด ก็ดูไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าจะดูในแง่มุมกฎหมาย แบบจะต้องอธิบายจนสิ้นสงสัยทั้ง 100% เหมือนที่อาจารย์บอกว่า การจะดูอะไร ต้องไม่เอาความเชื่อมาจับ ซึ่งผมในฐานะที่เรียนกฎหมายระดับ 101 อยู่เลย ก็คงต้องตั้งคำถามว่า ทุกเรื่องมันก็เป็นความเชื่อครับ คดีอาญา ตำราฝรั่งเศสเขียนไว้ว่า การพิสูจน์จนสิ้นสงสัยตามสมควร (proof beyond a reasonable doubt) มันไม่ได้แปลว่า 100% แต่มั่นใจประมาณ 90% ก็พอแล้ว เพราะถ้า 100% คุณจะไม่มีทาง เอาใครผิดกฎหมายอาญาได้เลย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องคุณทักษิณนะ นอกจากคุณเห็นต่อหน้าต่อตา หรือกรณีคดีแพ่ง มาตรฐานก็อยู่ที่ 50% 51% คุณเชื่อว่าฝั่งนี้ถูก หรือฝั่งนั้นถูก มากกว่านิดเดียวก็ไปแล้ว ที่อาจารย์วรเจตน์บอกว่า มันต้องเอาหลักฐาน และห้ามมีความเชื่อเลย ผมคิดว่าเป็นเวอร์ชั่นที่เป็นไปไม่ได้เลย มีคดีไหนบ้าง ที่ศาลไม่ต้อง ใช้ความเชื่อ ในการตัดสินเลย แล้วมันเป็นข้อเท็จจริงล้วน แล้วการตีความข้อเท็จจริง มันคือความเชื่อทั้งสิ้น พูดแบบโพสต์โมเดิร์นนะ ปัญหาก็คือระดับความเชื่อระดับไหน ที่คุณคิดว่ามันใช่ หรือไม่ใช่ สำหรับตัวผม ผมดูในหลายเรื่องในคดีนี้ คำให้การของคุณสุรเกียรติ์ (เสถียรไทย) ในกรณี เอ็กซิมแบงก์ มีรัฐมนตรีคนหนึ่งร่วมประชุมอยู่ รู้เห็น และเกี่ยวข้อง ทำไมอาจารย์วรเจตน์และทีมงานจึงไม่ให้น้ำหนักกับเรื่องอย่างนี้ ซึ่งมันก็ต้องถามด้วยว่า มีพยานหลักฐานที่ศาลรวบรวมได้จากกระบวนการจำนวนมาก แล้วถ้าคุณเป็นนักข่าว หรือเป็นใครก็แล้วแต่ หรือเป็นชาวบ้าน คุณก็ต้องสงสัย แล้วถ้าเกิดคุณคิดว่าไม่ใช่อย่างนั้น คุณก็ต้องอธิบายว่า ทำไมมันจึงไม่ใช่ด้วย ฉะนั้น ผมจึงไม่อาจเห็นพ้องกับอาจารย์วรเจตน์และเพื่อนอาจารย์ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:38:20 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 25 มุมมองที่แตกต่างระหว่างอาจารย์กับอาจารย์วรเจตน์ ไม่ใช่เป็นเรื่อง 2 คนยลตามช่องใช่มั้ยครับ ทุกเรื่องมีหลายคนยลตามช่องอยู่แล้ว แต่ประเด็นก็คือผมไม่ไปเคลมว่าผมถูกกว่า หรืออาจารย์วรเจตน์ถูกกว่า ผมคิดว่าให้คนดูตัดสิน ให้คนอ่านหนังสือพิมพ์ตัดสิน ผมเสนอในมุมของผม อาจารย์วรเจตน์เสนอในมุมของท่าน มุมของผม ผมเชื่อว่าพยานหลักฐานมันหนักแน่นพอ การที่ผมติดตามวงการโทรคมนาคมมา ผมเห็น หลักฐานแวดล้อม เห็นอะไรสารพัด แต่ไมใช่เป็นเพราะอาจารย์อยู่ฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณ ผมคิดว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ไม่ใช่เพราะว่าคุณทักษิณมาโกรธอะไรกับผมก่อน ผมจึงต้องมาให้ร้ายเขา แต่เป็นเพราะว่าผมศึกษาเรื่องโทรคมนาคมและผมคิดว่ามันมีเรื่องไม่ชอบมาพากล มันมีเรื่องเอื้อประโยชน์กันอยู่ คุณทักษิณ จึงไม่ชอบผม แต่ผมก็ไม่ได้ บอกว่าผม ไม่ชอบคุณทักษิณ มันคนละเรื่องกัน ผมคิดว่านี่ก็ To be fair กับอาจารย์วรเจตน์ด้วย การที่อาจารย์ออกมามีความเห็นคล้ายกับคุณทักษิณ สังคมก็ไม่ควรไปเหมารวมว่าอาจารย์เป็นพวกเดียวกับคุณทักษิณ ประเด็นของผมก็คือในมุมหนึ่งอาจารย์วรเจตน์ได้ทำประโยชน์จากความกล้าหาญของอาจารย์ ในการออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาศาล แล้วผมคิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์ศาลนั้น เป็นประโยชน์สำหรับ ศาลเอง ที่ในอนาคตศาลจะยกระดับคุณภาพของคำตัดสิน ซึ่งคุณภาพคำตัดสินในคดียึดทรัพย์นี้ ผมไม่ได้คิดว่าด้อยกว่าคุณภาพโดยเฉลี่ย ผมศึกษากฎหมายด้วยตัวเอง แต่ก็อ่านฎีกามาจำนวนหนึ่ง ก็ไม่ได้คิดว่าคดีนี้มีคุณภาพของฎีกาต่ำกว่าฎีกาอื่น ในการให้เหตุให้ผลในคดีนี้ ตรงกันข้าม ศาลได้ยกพยานหลักฐานต่าง ๆ มามากมาย แต่ถ้าผมเป็นศาล มีหลายเรื่องที่ผมคิดว่าผมจะเขียนละเอียดกว่านี้ มีหลายเรื่องที่ผมจะให้เหตุผลแตกต่างจากศาล แม้ว่าข้อสรุปสุดท้ายอาจจะเหมือนกันก็ได้ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:38:41 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 26 มีชื่ออื่นไหม วันนั้นผมดูอยู่ครับ อ. สมเกียรติแค่ยกตัวอย่าง 3G อ. วรเจตน์ต่างหากที่แถพยายามหาช่องตามกฎหมาย ประเด็นที่น่าจะถกกันก็คือ กีดกันจนรายใหม่ไม่กล้าเข้าตลาด vs ที่รายใหม่ไม่เข้ามาอาจจะเป็นเพราะคนอื่นไม่เข้ามาเอง ซึ่งมันตอบได้ไม่ชัด แต่ "มีเจตนากีดกัน" นี่สิ พิสูจน์ได้ จากคุณ : tarthewise เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 20:44:41 A:202.47.237.156 X:

ความคิดเห็นที่ 27 วันนั้นผมดูอยู่ครับ อ. สมเกียรติแค่ยกตัวอย่าง 3G อ. วรเจตน์ต่างหากที่แถพยายามหาช่องตามกฎหมาย ประเด็นที่น่าจะถกกันก็คือ กีดกันจนรายใหม่ไม่กล้าเข้าตลาด vs ที่รายใหม่ไม่เข้ามาอาจจะเป็นเพราะคนอื่นไม่เข้ามาเอง ซึ่งมันตอบได้ไม่ชัด แต่ "มีเจตนากีดกัน" นี่สิ พิสูจน์ได้ จากคุณ : tarthewise     ไม่ทราบน่ะว่าท่านเอาคำกล่าวที่เนื้อหามากมายมาอ้างอิ้งในสิ่งที่ท่านกล่าวถึงไปเพื่ออะไร เนื่องจากในสำนวนที่ศาลให้คำตัดสิน ไม่มี 3จีอยู่เลยในสำนวน และถ้าจะบอก ไทยโมบายถูกกีดกัน โธ่ๆก็ในเมื่อสัมปทานที่รัฐให้ไป "มันหมดแล้ว" ชัดไหม แล้วจะเอา พระแสงง้าวด้ามยาว อะไรอีก 3จี ก็มีไม่เล่น จะเอา 2จี แล้วมันจะได้ไหม ก็ "มันหมดแล้ว" อ่า.... จากคุณ : มีชื่ออื่นไหม เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 21:07:47 A:118.174.51.17 X:

ความคิดเห็นที่ 28 "จังหวัดไหนเลือกเรา เราพัฒนาก่อน" "คนตาบอดไม่กลัวเสือ"  ---->อันนี้มันเจ็บมาก ๆ หากคนที่เป็นนายกพูด จากคุณ : hideto b1 เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 21:47:31 A:61.91.92.209 X:

ความคิดเห็นที่ 29 "จังหวัดไหนเลือกเรา เราพัฒนาก่อน" "คนตาบอดไม่กลัวเสือ"  ---->อันนี้มันเจ็บมาก ๆ หากคนที่เป็นนายกพูด จากคุณ : hideto b1   เขียนเมื่อ : 29 เม.ย. 53 21:47:31 A:61.91.92.209 X:     ซื้อลูกชิ้นมาไม้หนึ่ง ท่านจะให้ลูกท่านกินก่อน หรือให้หมากินก่อนล่ะ จากคุณ : มีชื่ออื่นไหม เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 08:48:49 A:125.24.204.43 X:

ความคิดเห็นที่ 30 ชอบ ดร. สมเกียรติ มากเลย พูดจาดี มีข้อมูลเพียบ เสียดาย ตอนนั้นเห็นแต่เรื่อง 3 G ส่วน อ. วรเจตน์ เห็นการสัมภาษณ์แล้ว ก็สมควรล่ะ ที่ไปลงชื่อและเขียนบทความอย่างนั้น แข็ง มั่นใจว่าตัวเองถูกต้อง คนอื่นคิดไง ไม่สน จากคุณ : Eldena เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 53 14:59:17 A:124.121.19.234 X: