 |
ประชานิยมฉบับรัฐบาลอภิสิทธิ์ : ประชานิยมที่ไม่มีอนาคต
|
|
เมื่อตอนปี 44 ครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์กรีธาทัพหลวงไปปราศัยที่ประตูท่าแพจังหวัดเชียงใหม่
ครั้งนั้นผมได้ยินนายชวน และ นายอภิสิทธิ์พูดเต็มสองหู โจมตีนโยบายประชานิยมของไทยรักไทยว่าเป็นไปไม่ได้ , ไม่มีประโยชน์ , ถ้าทำแล้วจะเกิดผลเสียหายร้ายแรงเพราะจะทำให้ชาติขาดวินัยทางเงิน ฯลฯ จำเนียรกาลผ่านมา ปชป.ก็ยังไม่เลิกโจมตี ทำน่าเกลียดถึงขนาดเอานโยบายเหล่าไปแปะตามขั้นบันไดแล้วให้ผู้บริหารก้าวเดินลงมาเป็นทำนองดูหมิ่นถิ่นแคลน
และแล้วนโยบายประชานิยมในเวลานั้นก็ได้พิสูจน์ด้วยตัวมันเองแล้วว่า นโยบายหลายอย่างมีคุณประโยชน์อย่างอนันต์ต่อประชาชน
อาทิเช่น 30 บาทรักษาทุกโรค หลายคนที่มีอายุ 30 กว่า - 40 ปีขึ้นไปที่สัมผัสกับวิถีชาวบ้านและมี่ชีวิตติดดินสักหน่อยคงจำภาพของประชาชนผู้มีรายได้น้อย เมื่อเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นดี ๆ นี่ หลายครอบครัวพอป่วยหนักแล้วไม่กล้าแม้แต่จะไปหาหมอ เพราะรู้ตัวว่าไม่มีเงิน หลายรายเลือกที่จะรักษาตัวไปยถากรรม ในบ้านมีคนป่วยคนหนึ่งทุกข์ใจทั้งบ้าน ทั้งลูกทั้งผัว กลุ้มใจกันหมด ในรายที่กัดฟันไปหาหมอ ก็ต้องไปแบบอนาถา ไปแบบฝากความหวังไว้กับความเมตตาของโรงพยาบาล บางรายต้องทนถุกด่าถูกตะคอก แทบไม่เหลือศักดิ์ความเป็นมนุษย์ โดนปฏิบัติไม่ดีแล้วก็ต้องมานอนระเกะระกะตามสนามหญ้าของโรงพยาบาลเพื่อรอเฝ้าไข้เ ภาพเหล่านี้เชื่อว่าบางคนคงยังจำกันได้
แต่นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่มีคุณูปการต่อประชาชนอย่างมากมาย ปัจจุบันเราได้เห็นคนจนหรือแม้แต่คนชั้นกลางที่เป็นโรคหัวใจ ผ่าสมอง เป็นมะเร็ง สามารถรับการรักษาอย่างไม่ต้องสิ้นหวัง นโยบายนี้เป็นสิ่งที่ต้องชมเชย
เพราะเป็นการช่วยด้วยระบบไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเมตตา
และกรุณาอย่าพูดแบบปัญญาอ่อนว่า เพราะรัฐบาลไทยรักไทย เอาเงินซื้อประชาชน เพราะถ้าคิดตื้น ๆ แบบนั้น แล้วถามว่าไอ้รัฐบาลก่อนหน้านั้นมันมัวไปทำอะไรอยู่ ไปตายหงส์ตายห่านที่ไหน ถ้ามันทำได้ง่าย ๆ ทำไมไม่คิดทำสิ่งดี ๆ แบบนี้ขึ้นมาบ้าง รัฐบาล ทรท. เลือกเอาแนวคิดของ NGO ฝ่ายที่เป็นสาระแก่นสารมาปฏิบัติให้เป็นจริง (ต่างกับ NGO ลัทธิเต๋า ที่เพ้อเจ้อ เลื่อนลอย หลีกหนีโลกาภิวัฒน์สุดชีวิต แต่ใช้งบมหาศาล ทั้งจากภาครัฐและเรสฟันด์จากต่างประเทศประโคมลงไปในโครงการที่เพ้อฝันวัดผลไม่ได้ ที่มีอยู่เกร่อเกลื่อนในปัจจุบัน)
นี่ยังไม่กล่าวถึงนโยบาย พักหนี้เกษตรกร , หนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลและการส่งเสริมภูมิปัญญาพื้นบ้าน , โครงการ SME ฯลฯ
*** และเมื่อประชาธิปัตย์โดยรัฐบาลนายอภิสิทธ์ได้มีโอกาสบริหารประเทศ ***
สำนวนที่ว่า กลืนน้ำลายที่ถ่มลงไป ปรากฏให้เห็นชัดเจน
เพราะประชานิยมที่ประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์เคยดูถูกเหยียบย่ำนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับประชานิยมเสียยิ่งกว่า ที่สำคัญคือเป็น ประชานิยมแบบไร้อนาคต
- ต้นกล้าอาชีพ ก็คือ ผีมิยาซาว่าแพลน ที่ผุดขึ้นมาหลอกหลอนแล้วจากไปอย่างอนาถนั้นเอง
- แจกเงินสองพันให้กับผู้มีรายได้แน่นอนโดยใช้ฐานข้อมูลจากประกันสังคม เป็นประโยชน์แค่ไหน กระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ คำตอบก็คงพอเห็นกันอยู่
-โครงการเรียนฟรี 12 ปีนี่ สะตอ ระดับประเทศเลย โรงเรียนมัธยมของรัฐบาลปัจจุบันแต่ละเทอมผู้ปกครองยังต้องเสียเฉลี่ยเทอมละสองพัน โดยเลี่ยงไม่เรียกค่าเทอมแต่ไปเรียกอย่างอื่นแทน มิหนำซ้ำยังเป็นโครงการชั่วคราว ไม่มีอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าจะช่วยไปถึงเมื่อไหร่ ขอประชาสัมพันธ์ไว้ก่อนแล้วค่อยทิ้งให้เป็นภาระของรัฐบาลต่อไป เน้นหาเสียงล้วน ๆ
- โครงการดี ๆ อย่างหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลที่กำลังจะไปได้สวยก็ไม่คิดสานต่อ โครงการ 30 บาทรัฐบาลก็ไม่มีความเข้มข้นในการดูแลเอาใจใส่ ทำให้หลาย ๆ ที่เริ่มหย่อนยานและปล่อยปละ
-นี่ยังไม่นับนโยบายลดแลกแจกแถมจะขึ้นเงินเดือน จะเพิ่มสวัสดิการ จะทำประเทศให้เป็นรัฐสวัสดิการ ตามที่พวกเราได้ยินข่าวรายวัน
แต่ละอย่างทำโดยไม่ดูรายได้ของประเทศ ไม่มีความแน่นอน ไม่มีความยั่งยืน ไม่มีแนวทางต่อยอดเพื่อเพิ่มรายได้ เน้นหาเสียงอย่างเดียว นี่สิถึงเป็นสารเสพติดประชานิยมของจริง เสียวินัยทางการเงินของจริง ที่สำคัญคือ ดูแล้ว ไม่มีอนาคต
พิชัยสงครามซุนวู่บทหนึ่งบอกไว้ว่า หากนายทัพเน้นการให้รางวัลกับไพร่พลแจกโปรยอามิสอย่างไม่มีเหตุผลสมควร นั่นคือนายทัพกำลังขาดความเชื่อมั่น
คุณอภิสิทธิ์จะขาดความมั่นใจเพราะถูกคุณเนวินข่มจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง หรือไม่มีปัญญาคิดนโยบายดี ๆ หรืออาจจะกลัวพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งอย่างไรก็แล้วแต่ ขอความกรุณาอย่าทำตัวน่าเกลียดไปกว่านี้ด้วยการกลืนสิ่งที่เคยสำรอกออกมาหรือทิ้งภาระให้กับประเทศชาติ เช่นนี้เลย
แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 16:53:59
จากคุณ |
:
Uncle-Dave
|
เขียนเมื่อ |
:
21 ก.ค. 53 16:02:54
A:222.123.83.193 X:
|
|
|
|  |