Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
GDP ประเทศกำลังโต? (อภิปรายคุณ ไป่ฉี คุณ abbeaw และอ้างถึงคุณ หมูกระแทก ){แตกประเด็นจาก P9598722}  

    การตั้งหน้าตั้งตาประโคมข่าวเรื่อง GDP ของประเทศที่เติบโตอย่างสวยงามของรัฐบาลปัจจุบันถ้ามองในแง่ดีนับเป็นการใช้จิตวิทยาที่ทำให้คนมั่นใจขึ้น แต่ในทางกลับกันอาจจะเป็นเหตุให้การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงถูกละเลยไปจนกระทั่งสายเกินแก้ เพราะถ้าหากพูดภาพรวมของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ GDP ที่มาจาการนับรวมผลผลิตทางเศรษฐกิจในประเทศที่เกิดจาก C+ I+ G + (X-M) นั้นอาจจะดูดี แต่ถ้าหากแยกลงไปในรายภาคแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจเรานอกจากจะไม่ได้เข้มแข็งแล้ว เรายังอยู่ได้ด้วยลมหายใจของคนอื่นอีกต่างหาก (คลิกที่นี่เพื่ออ่านกระทู้ของคุณ หมูกระแทกประกอบ)

    เริ่มจากตัว C (CONS= Value of Expenditures on Consumption)
คือการบริโภคของภาคเอกชนที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับรากหญ้าจนถึงชนชั้นกลาง ซึ่งถ้าหากคนรู้สึกหรือมั่นใจว่าเศรษฐกิจดีจริงและเขาจะยังคงมีรายได้ต่อไปย่อมจะต้องมั่นใจที่จะใช้เงินจับจ่าย แต่ทว่าห้างสรรพสินค้าหลายแห่งกลับมียอดขายลดลงและยังต้องลดแลกแจกแถมกันแทบทุกเดือน ร้านขายเสื้อผ้าในหัวเมืองจากเดิมขายได้วันละเกือบร้อยชิ้นเหลือแค่ 10 กว่าชิ้น แม้กระทั่งพ่อค้าคนหนึ่งที่ตลาดสดเยาวราชเล่าให้ฟังว่า เขาลดการส่งของให้บรรดาภัตตาคารลงครึ่งหนึ่ง ตลาดที่เคยคึกคักกว่านี้ก็เงียบไม่รู้คนไปไหนหมด

    มาดูที่ตัว I (INVEST Value of Expenditures on Investment)
คือ การลงทุนภาคเอกชน ถ้าหากใครได้เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย เมื่อราวอาทิตย์ที่แล้วที่บอกว่า ทุกวันนี้แบงก์ไม่มีลูกค้าใหม่เลย สินเชื่อที่ปล่อยอยู่นี้ก็เป็นลูกค้าเก่าที่มาเบิกเงิน OD หรือเงินหมุนเวียนธรรมดา มันสามารถสะท้อนได้ว่า ทั้งลูกค้าและแบงก์ต่างก็ไม่มั่นใจด้วยกันทั้งคู่ แม้แต่นายแบงค์กรุงเทพฯ เองก็เถอะ (อ่านเพิ่มเติมข่าวใกล้เคียงจากที่นี่ “แบงก์ชี้สินเชื่อโตแต่ลงทุนใหม่ไม่ฟื้น ธุรกิจแห่ใช้"working capital"ดันยอดปล่อยกู้พุ่ง” )


    สำหรับนักลงทุนต่างชาติเขายังสนใจประเทศไทยอยู่หรือไม่?
แน่นอนว่า ดัชนีตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นเพราะนักลงทุนต่างชาติขนเงินเข้ามาก็พอจะสะท้อนการลงทุนจากต่างประเทศได้บ้าง แต่ถ้าเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์คงที่อย่างเช่นการตั้งโรงงานหรือการตั้งกิจการแล้ว การเติบโตของตลาดหุ้นไม่ได้สะท้อนถึงการจ้างงานของประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าที่จะมาจับจ่ายใช้สอยต่อไป 

           ทั้ง C และ I ดิฉันคงไม่มีข้อมูลมายืนยันว่าจากสำนักไหน แต่ถ้าคุณจะพิจารณาด้วยใจเป็นกลางและดวงตาที่เห็นธรรม ก็ขอให้ใช้ความรู้สึกของตัวคุณเองวัดว่า....นับแต่รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 นั้น เกิดอะไรขึ้นบ้างกับบ้านเมืองของเรา โดยเริ่มจาก...เหลืองปิดสนามบินร่วมเดือน แดงปิดถนนทุกเทศกาลสงกรานต์ ทั้งทหารและแดงต่างเล่นสาดกระสุนและระเบิดแทนน้ำ และตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การปกครองของรัฐบาลยุค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับความร่วมมือด้านการรักษาความมั่นคงจากฝ่ายทหารเป็นอย่างดีเยี่ยม เห็นได้จาก การที่ทหารขนปืน รถถังออกมาวิ่งเป็นว่าเล่นอันเนื่องมาจาก พรก. ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลประกาศดุจประหนึ่งงานรื่นเริง  และล่าสุดกับอีกหนึ่งความประทับใจชาว กทม. ด้วยการกระชับพื้นที่ และเหนือสิ่งอื่นใดจากการประโคมข่าวของทางรัฐบาลทึ่ว่า ขณะนี้ประเทศของเรามี “กลุ่มผู้ก่อการร้าย” เต็มเมือง

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ จงถามตัวคุณเองว่า คุณยังอยากใช้เงินตามปกติอยู่หรือ? นักลงทุนยังอยากจะมาเมืองไทยอยู่ไหม? แล้ว C และ I มันจะโตได้อย่างไร

        G หรือการจับจ่ายของภาครัฐ (GOV= Value of Government Purchases of Goods and Services)

เป็นที่รับรู้กันว่ารัฐบาลชุดนี้ประชานิยมกันสุดๆ แต่คำถามที่ตามมาคือ รัฐเอาเงินที่ไหนมาแจก ถ้าหากเป็นเงินกู้อาจจะต้องไม่ใช้ในวันนี้ แต่รายได้หลักของรัฐบาลคือ ภาษีประชาชน แล้วถ้าหากว่ากิจการร้านค้าขายไม่ดีและไม่มีคนลงทุน รัฐจะเก็บภาษีจากไหน ซึ่งถ้าหากเข้าตาจนจริงๆ ก็ต้องมาสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า “ถอนขนห่าน” เก็บทุกเม็ดเท่าที่จะทำได้ แล้วคนที่เดือดร้อนก็คือ พ่อค้าแม่ค้าที่ไม่ได้มีฐานเงินเดือนเป็นตัวคำนวณภาษีแต่ต้องใช้วิธีประมาณยอดขายแล้วคำนวณเป็น VAT ซึ่งวิธีนี้หากสรรพากรต้องการรีดภาษีก็ย่อมทำได้ ด้วยการขอร้องแกมบังคับให้ส่งยอดเท่าเดิม
     “ตอนได้ของรางวัลเป็นหม้อหุงข้าวกับทีวีก็จ่ายภาษีให้ทางห้างแล้ว แต่ว่าสรรพากรก็ตามมาบอกว่า ไม่พอต้องเอามูลค่ามาคำนวณเป็นรายได้เสียภาษีด้วย ผลก็คือจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม ของยังอยู่ในกล่องเลย” ผู้ประกอบการรายหนึ่งสะท้อนให้ฟัง

    มาถึงตัว X-M หรือยอดการส่งออกหักด้วยการนำเข้า (EXPORTS= Value of Exports of Goods and Services และ IMPORTS= Value of Imports of Goods and Services)

ตัวเลขเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาของแบงก์ชาติประกาศว่ามีอัตราการขยายตัวถึง 47.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ทว่าในทางกลับกันการนำเข้าก็ขยายตัว 38.3% ด้วย ที่เป็นเช่นนี้เพราะ สินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของประเทศเป็นสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งยานยนต์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งเจ้าของกิจการที่แท้จริงส่วนใหญ่คือ ญี่ปุ่น ซึ่งเข้ามาตั้งโรงงานโดยนำเข้าชิ้นส่วนมาประกอบในประเทศไทยแล้วส่งออกไป ส่วนกำไรจากการขายก็ส่งกลับประเทศ  ดังนั้นปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนของ ”มาบตาพุด“ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข ขอแค่มีความชัดเจนว่าว่าจะทำอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้ยืดเย้อจนบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือทำให้ GDP โต ต้องถอดใจถอนออกไป แม้ว่าจะไม่ใช่ถอนไปทั้งหมด แต่ย่อมส่งผลกระทบมหาศาลต่อประเทศไทยเพราะแค่นึกถึงจำนวนคนตกงานก็หนาวแล้วล่ะ

มาถึงประเด็น การเปรียบเทียบระหว่าง ทักษิณและอภิสิทธิ์

ดิฉันไม่ทราบว่า “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลชุดนี้ ตั้งเป้าการขยายตัว GDP อย่างไร เช่น C = 20 I = 30 G = 20 (X = 80 M =50) อะไรทำนองนั้น หรือไม่

แต่จำได้เลาๆ ว่า สมัยคุณทักษิณได้ตั้งเป้าการปรับสมดุล ระหว่าง C และ X ให้เหลือเท่ากัน คือ 50 50 (M เหลือ 20) นี่เองที่เรียกว่า Dual Track (ดังที่คุณ หมูกระแทกได้พูดถึงในกระทู้นี้ P9598722 ) และ G เหลือ 10 แต่ 10 เปอร์เซ็นต์ของรัฐบาลในยุคนั้นนั้น คือ 10 เปอร์เซ็นต์ + “Hope”

Hope คืออะไร Hope คือการให้ความหวังและสร้างความมั่นใจ ให้แก่ C และ I รัฐบาลทักษิณอาจจะโชคดีกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่บริหารบ้านเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่เข้มแข็ง คือ รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ส่งผลให้เกิด “เสถียรภาพทางการเมือง” ทำให้การบริหารประเทศมีความน่าเชื่อถือ หมดปัญหาเรื่องการเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนข้าง สภาไม่วุ่นวาย เกิดความมั่นใจในการลงทุนระยะยาวของชาวต่างชาติ อาทิ แสดงศักยภาพด้วยการประกาศตัวเป็น ศูนย์กลางทางการบินที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย... และนั่นคือ “Hope” ที่ว่าค่ะ

นโยบาย “แนวใหม่” ที่ คุณหมูกระแทกถามหานั้น ดิฉันก็หวังค่ะและรอ รอที่จะได้เห็น
สิ่งที่ นายกรณ์ ได้ประกาศว่าจะทำคือปรับ C และ X ให้เท่ากันนั้น แม้ว่าคุณทักษิณได้ทำมาก่อน(นานแล้ว) ดิฉันยังดีใจที่อย่างน้อย “เด็กทั้งสองคน” ก็ยอมลดอีโก้ ลงมาบ้าง....

การท่องเที่ยว หนทางเดียวแห่งการหากิน (ของรัฐบาล)???
เราจะหวังพึ่งการท่องเที่ยวได้หรือไม่นั้น ลองคิดดูแล้วกันค่ะว่า การที่โฆษกรัฐบาลออกมาบอกว่า “การก่อการร้ายจะยกระดับขึ้นกว่าที่มีการวางระเบิดหน้าห้างบิ๊กซี จะทำให้การท่องเที่ยวเป็นอย่างไร”

เล่ามาจนจบ ตามความรู้อันน้อยนิด ผิดถูกประการใดกรุณาท้วงติง..และอยากจะฝากคำถามทิ้งไว้กับหลายๆ ท่านที่เชียร์รัฐบาลอภิสิทธิ์ในเรื่อง GDP ว่า ถ้าสถานการณ์เป็นดังเช่นปัจจุบันแล้วรัฐบาลชุดนี้ใช้อะไรเป็นตัว Boot เศรษฐกิจคะ (แอบใช้คำทับศัพท์เล็กน้อย จำเขามา)



4 ปี ซ่อม และ 4 ปี สร้าง คือ แผนแม่บทที่คุณทักษิณ ตั้งใจทำให้สำเร็จ แต่ก็เทำได้พียงแค่ซ่อมเท่านั้น ทุกอย่างก็ถูกทำลายลงให้กลับไปที่จุดเริ่มต้น คุณไป่ฉี่อาจจะมองว่า ไม่ถอยหลัง แต่ดิฉันมองว่า อย่างน้อยๆ ตอนนี้ การเมืองไทยและประเทศไทยได้ถอยหลังกลับไปยืนอยู่สมัย 2535 ก่อนเกิดพฤษภาทมิฬเรียบร้อยแล้วค่ะ

สวัสดี.....



ปล. 1 คุณ ไป่ฉี ดิฉันยังเหลือ ประเด็น ทหารคืนอำนาจสู่ประชาชน ไว้อีก วันสองวัน จะมาต่อค่ะ

เรื่องหุ้น ดิฉันไม่คิดว่า การดุหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จะเป็นตัวบอกว่าเศรษฐกิจดีนะคะ เพราะสมัยก่อน รัฐบาลทักษิณจะดูตัวอื่น อาทิ กลุ่มผู้บริโภค กลุ่มขนส่งสินค้า เพราะนั่นแสดงว่ามีการซื้อขายกันจริงๆ ส่วนกลุ่มก่อสร้างนั้น ต้องอย่าลืมนะคะว่าหุ้นกลุ่ม "สร้างบ้าน" มันมี หนี้สินที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รออยู่
 

ปล. 2 คุณ abbeaw ที่ต้องเอ่ยถึง เพราะกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P9577691/P9577691.html และกระทู้เมื่อเร็วๆ นี้ในทำนองเดียวกัน (แต่ถูกลบไปแล้ว)


แก้ไขคำผิด

แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 53 16:59:48

แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 53 16:45:25

จากคุณ : SassyKate
เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 53 16:37:07 A:202.47.224.130 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com