มาค่ะ คุณมัสแตง ไป่ฉี และผองเพื่อน รวมทั้งคุณโพ้นฟ้า จขกท. ล่าสุด มาฟังกันชัดๆ จะได้ออกจากวังวล GDP กันเสียที
ประเด็นที่มาของการอภิปรายเรื่อง GDP มี 2 ประเด็น คือ
1. GDP โต จากอะไร หรือ นโยบายอะไรที่รัฐบาลใช้เพื่อทำให้ได้ GDP ที่โตพรวดๆ ขนาดนั้น
2. ตัวเลข GDP ของจริง? (อันนี้แค่สันนิษฐาน อย่ามาฟ้องร้องกันนะ)
คุณหมูกระแทกและดิฉัน พยายามจะบอกว่า ไม่ได้เสียอก เสียใจ หรือคับแค้นจุกอกที่เห็นรัฐบาลทำให้ GDP โต แต่ที่จุก ก็จุกเพราะคำตอบของพวกคุณๆ นี่แหละ...ที่เพียรแย้ง เพียรถาม เพียรอภิปรายเพราะอยากรู้ว่า “GDP โตมาจากนโยบายเรื่องอะไร” และอีกประเด็นที่คุณหมูกระแทกเพียรถามว่า “มีนโยบายแนวใหม่” อะไรบ้างไหม....
จนแล้วจนเล่า ผ่านมาหลายวันทางฝั่งกองเชียร์รัฐบาลก็วนอยู่ในอ่างด้วยตัวเลข GDP เช่นเดิม แม้ว่าอิฉันจะเขียนเชิงวิชาการมาอธิบายก็แล้ว กระแนะกระแหนก็แล้ว.....ก็ยังไม่ไปไหน ไม่มีใครตอบซักคน แต่ละคนกลับออกแนว “ตำป่าตำดง” (เข้ารกเข้าพง) ไปเรื่อย กระทู้แรกของคุณมัสแตงเล่นดิฉันซะจุกตับแตก P9603237 พอมาเจอทู้ P9607367 ของพี่แก เล่นซะ อิฉันอวัยวะภายในบอบช้ำม้ามและไตเละไปหมด...อ๊ากส์......(ขออนุญาตใช้เสียงประกอบ)
คุณหมูกระแทกลาโรงไปอย่างเหนื่อยล้า ที่ไม่สามารถอรรถาธิบายให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้ว่า “ต้องการอะไร”ล่าสุดเมื่อชั่วโมงที่แล้ว อิฉันเปิดคอมฯ เห็นกระทู้ของคุณ โพ้นฟ้า P9614153 ที่เข้าใจว่าอยากจะกระโดลงมาช่วยเพื่อนๆ ด้วยการพายเรือในอ่างร่วมกับไป่ฉี มัสแตง เด็กรู้ทัน (และกองเชียร์) โดยยังยืนยันจุดยืนเดิมร่วมกับผองเพื่อน คือ เห็นไหม....GDP มันโต ก็เพราะฝึมือของ “เด็กสองคน” (ล้วนๆ อันนี้เติมให้) อ๊ากส์....เอื๊อกส์ๆๆๆๆๆๆๆ (เสียงประกอบอาการกระอักเลือดเพราะ ช้ำในอย่างสาหัส) -_-‘
เฮ้อ กองเชียร์แต่ละท่านช่างอุตสาหะเพียรพยายาม พายเรือในอ่างกันดีแท้ หาทางออกไม่เจอกันเหรอคะ? เจ็บสีข้างกันบ้างไหมเนี่ย... แต่ไม่เป็นไรค่ะยังไงเสียคุณพี่ไป่ฉีก็ได้ตอบดิฉันสองรอบสามรอบแล้วว่า การที่ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวนั้น เพราะ “นายกฯ เก่งภาษาและมีทักษะในการสื่อสารให้ต่างชาติเข้าใจ อีกทั้งร่วมรับฟังปัญหา และล่าสุดพี่ไป่ฉีบอกว่า ท่านนายกเป็นคนซื่อสัตย์!!!” -_-‘
มามะ คุณไป่ฉี และผองเพื่อน ถ้าไม่มีใครตอบได้ ดิฉันจะขอใช้สิทธิ์อันมีค่า 1 วัน 1 กระทู้ อภิปรายคุณหมูกระแทกแทนพวกคุณเอง....
จริงๆ ดิฉันก็ไม่รู้จะช่วยยังไงให้พวกคุณมีคำตอบมาสู้ฝั่งที่เขาเชียร์ทักษิณ เรื่อง “คิดใหม่ ทำใหม่ นโยบายแนวใหม่” จากนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะต้นกล้าอาชีพก็ดูจะไม่เข้าที เรียนฟรี 15 ปี ก็งั้นๆ เงินเดือนคนชราก็อ่อนไป เงินแจก 2000 ดิฉันก็ไม่ได้.......แต่ดิฉันมีอยู่โครงการหนึ่งค่ะ ที่อยากจะเล่าและคิดว่าน่าจะพอช่วยให้กองเชียร์รัฐบาลมีมุกไว้ต่อกลอนกับกองเชียร์ทักษิณได้บ้าง...
ฟังแล้ว “กรุณาพากันทำความเข้าใจและคิดตาม” ข้อห้ามในการคิดคือ ตัดทักษิณออกไป อย่าไปน้อยออกน้อยใจว่า เขาเป็นคนเริ่ม แต่ให้ภูมิใจว่า ใครเป็นคนสานต่อ (เข้าใจ๊??)
อภิปรายคุณหมูกระแทก: “ผลงานของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร และนโยบายแนวใหม่ที่รัฐบาลชุดนี้กำลังจะทำคืออะไร”
คุณหมูกระแทกคะยังไม่ต้องกังวลค่ะเรื่องนโยบายแนวใหม่หรือการสนับสนุนภาคเกษตร ดิฉันเชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทุกเรื่องแม้จะคิดเรื่องใหม่ๆ ไม่ค่อยออกแต่ก็ยังดีที่เขายังคงสานต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจบางอย่างของคุณทักษิณไว้ค่ะ คุณหมูกระแทกเคยได้ยินเรื่อง“เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ไหมคะ? ตอนนี้รัฐบาลชุดนี้ให้ความ “ยอมรับ” และ “สนับสนุน” อย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นนโยบายแห่งชาติ และ NESDB ก็มีมติบรรจุเข้าไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 (ปี 2555 – 2559) เรียบร้อยแล้วโดยให้เป็นบทหลักด้วย
โครงการนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างหลังจากรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารจากไป แต่ยังไม่ชัดนักเพราะติดขัดหลายเรื่องเนื่องจากต้องหาทางโ_น สมัครและสมชาย เสียก่อน...ช่างเถอะเรื่องมันผ่านไปแล้ว ไม่ต้องไปสนใจเพราะเป็นคนทำงาน อาจจะเป็นลูกแม่มดที่เขาตามล่า แต่ก็แค่อยากให้เขารู้ว่า ไม่เกี่ยงนาย ใครเข้ามาก็ยินดีทำให้ เพื่อให้ประเทศเดินหน้า ซึ่งในที่สุดก็ได้ ท่านอภิสิทธิ์ มาเป็นนายก นั่นแหละค่ะโครงการนี้จึงเริ่มเห็นหน้าตา แขนขา....
ราวปลายปีที่แล้ว(หรือไงนี่แหละ) ถ้าคุณหมูกระแทกตามข่าว จะเห็นว่ารัฐบาลประโคมข่าวและเปิดประเด็นเรื่องเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และตอนนี้ก็สำเร็จแล้วค่ะ (ฝากถึงคุณบุรุษหน้าเหล็กที่เคยวิจารณ์สั้นๆ ในวันนั้น อยากจะบอกว่า คุณพูดถูกค่ะ แต่ทำไงได้ล่ะค่ะ ชั่วโมงนี้คิดแค่ว่า...”ได้ทำ” ยังดีกว่า “ไม่ทำ”...)
ดิฉันไม่แน่ใจนักว่าโครงการนี้จะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรกรรมมากน้อยแค่ไหนแต่มี Part หนึ่งที่ต้องทำคือ Part R&D ซึ่งคิดว่าต้องเกี่ยวข้องไปถึงภาคเกษตรกรรมแน่ๆ หลายท่านอาจจะงงว่า “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” หรือ Creative Economy คืออะไร ไว้มีเวลาจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ก็รู้แค่ว่า กว่า 70 เปอร์เซนต์ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของยุโรปอาทิ อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี ก็ใช้ทฤษฎีนี้เป็นตัวขับเคลื่อน...เกาหลีใต้ที่ GDP พุ่งพรวดๆ เนี่ย ก็มาจากทฤษฎีนี้ (ดูได้จากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มซัมซุง) ไต้หวันและจีนตามมาติดๆ จีนนี่น่ากลัวมาก ว่ากันว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พอจีนเห็นว่าเราจะ Boot เศรษฐกิจประเทศด้วยเรื่องนี้ จีนตื่นตัวทันทีและเริ่มลงมืออย่างรวดเร็ว หนังสือการออกแบบจากทั่วโลกถูกจีนกว้านซื้อ นำเข้าและแปลเป็นภาษาจีนทั้งหมด แม้กระทั่ง บิดาแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จีนก็คว้าตัวมาเป็นที่ปรึกษาได้กว่าสามปีแล้ว...แต่พี่ไทยเพิ่งเริ่มเรียกมาคุย และตอนนี้จีนกำลังเร่งสปีดอย่างรวดเร็ว โดยมีแผนว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจีนจะเปลี่ยนจาก Made in China เป็น Design in China โดยต้องเป็นแบบ Quantity and Quality อีกตะหาก
คุณหมูกระแทกคะ ดิฉันไม่แน่ใจนักว่าภาคเกษตรเป็นอย่างไรเพราะยอมรับว่าไม่ได้เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรง แต่ก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะจริงจังในภาคเกษตรด้วยเช่นกัน ขอให้โชคดีค่ะ
อภิปรายเรื่องผลงานของรัฐบาล...กว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 11 จะคลอดและเริ่มลงมือทำ ระหว่างนี้ที่รอให้ถึงปี 55 ก็มาดูว่า SMEs และ OTOP นั้น จะสามารถขับเคลื่อนประเทศได้อย่างไรหากได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง... (คุณมัสแตงอ่านแล้วคิดตามไปด้วยนะคะว่า ตัวอย่างที่ดิฉันจะเล่านี้ จะเป็นการกระจายรายได้สู่ชนบทที่แตกต่างกับรายได้จาก “ค่าแรงขั้นต่ำ” ด้วยการทำงานในโรงงานรถยนต์)
ตัวอย่างที่ 1 เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ด้วยคนไทยสายเลือดนักคิด (Creative DNA)
คุณทองดี ศรีกุลศศิธร วิศวกชาวไทย ผู้ผลิตหมึกพิมพ์จากน้ำมันถั่วเหลือง เจ้าของสิทธิบัตรรายที่ 2 ของโลก (รายแรกคือสหรัฐ)
ยุคหนึ่งในสหรัฐฯ ถือว่า เป็นผู้นำในการริเริ่มเปลี่ยนจากการใช้ปิโตรเลียมเป็นส่วนผสมของหมึกพิมพ์ เพราะเชื่อว่าเป็นที่มาของสาร ก่อมะเร็งให้กับมนุษย์ การตัดสินใจ เปลี่ยนจากการผสมปิโตรเลียมมาเป็นน้ำมันถั่วเหลืองและบวกกับผงหินสีธรรมชาติ นั้น เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมการพิมพ์ได้มากเลยทีเดียว อย่างน้อยก็การที่ผู้อ่านอ่านแล้วไม่ได้กลิ่นสีหมึกและไม่มีหมึกติดมือมา ด้วยทุกครั้งเมื่อหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ของประเทศไทยเป็นช่วงที่ โฉมหน้าหมึกพิมพ์ในไทยก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเพียงแต่ไม่เป็นข่าว และไม่เคยมีใครรู้ หรือสนใจ ทองดี ศรีกุลศศิธรลูกเขยของตระกูล เครือเจริญ อักษร ที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้กว้างขวางในวงการสิ่งพิมพ์ในฐานะของผู้จำหน่าย กระดาษ เครื่องจักร หมึกพิมพ์ รายใหญ่รายหนึ่งของไทยเป็นบุคคลสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทั้งๆ ที่เล่าเรียนจนจบการศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมโยธาจากประเทศเยอรมนีด้วยทุนการศึกษา ของมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความที่มีแนวความคิดไม่เหมือนใคร
(ที่มา: http://www.planprinting.co.th/Home_5.html )
ความสำเร็จ: เมื่อราวปี 2009 คุณ ทองดีได้นำหมึกนี้มา Submit เข้าสู่ฐานข้อมูลวัสดุเพื่อการออกแบบ จากการ Submit วัสดุในครั้งนั้น ทำให้คุณทองดีได้รับออเดอร์จากเยอรมนี เป็นจำนวนกว่า 28 ตัน โดยที่คุณทองดีไม่ได้เดินทางไปเสนอขายที่ไหนเลย เพราะทางเยอรมนีค้นพบน้ำหมึกของเขาจากฐานข้อมูลตัวนั้น
อ่าน เพิ่มเกี่ยวกับหมึกจากน้ำมันถั่วเหลืองที่เว็บนี้ http://www.soyink.co.th/
และฟังบทสัมภาษณ์ของคุณทองดีที่นี่ http://www.youtube.com/watch?v=uZwuCQaHYbg&NR=1
หรือ จะฟังเสียงสัมภาษณ์ของคนนี้ก็ได้ค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=9QsC2pMShU0&NR=1
มี หลายตอนค่อยๆ ดูไป หุ่นยนต์ก็มีนะ http://www.youtube.com/watch?v=hL6gy3JXNrc&NR=1
อภิปราย คุณคุณมัสแตง: โรงงานผลิตรถยนต์ เงินกำไรทั้งหมด เจ้าของบริษัทเอากลับไปประเทศ และคนไทยได้เพียงค่าแรงและโบนัส แต่ในกรณีคุณทองดีและคุณหาญ...ทั้งสองคนเป็นคนไทยค่ะ ดังนั้นเงินไม่ไปไหน อยู่ในไทยทั้งหมด
จากตัวอย่างที่ 1 พอจะมองเห็นความแตกต่างของรายได้ที่เกิดขึ้นไหมคะ? อะ ถ้ายังมองไม่เห็น มีตัวอย่างที่ 2
ยังไม่จบเพราะเนื้อหายาวไป ขอต่อวันพรุ่งนี้ (อีกสิบนาที ถ้าทัน)
ได้เลขกระทู้มาแล้วค่ะ ไปต่อกันที่ทู้นี้นะคะ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P9614723/P9614723.html
ว๊ายกระทู้ที่ 2 หาย สงสัยโดนดูด...เฮ้อ ไว้ติดต่อแล้วถ้าเขาคืนให้ จะมาแปะใหม่นะคะ
อ่ะ เขาคงไม่ให้ ไปอ่านต่อที่นี่นะคะ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P9598340/P9598340.html
แค่ช่วงแรกนะคะ ช่วงที่สองที่คั่นด้วย ====== นั่นเป็นเนื้อหาเก่า
ง่ะ -_-' อาถรรพ์ กระทู้หาย สงสัยติดคำกรอง เอาไปแปะที่ไหนก็หายหมด...
งือๆๆๆ แต่จริงๆ ทู้นี้ก็คงพอมั้ง เพราะที่เหลือก็มีตัวอย่างและบทสรุปนิดหน่อย ลองแปะตรงนี้ละกัน
----------------------------------------------------------------
เนี่ยละค่ะ คุณมัสแตง ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า ภูมิปัญญาชาวบ้านและธุรกิจ SMEs จะเป็นอีกตัวหนึ่งที่รัฐสามารถใช้เป็นตัวขับเคลื่อน GDP ได้ แต่ก็ไม่ใช่จะละทิ้งทุกอย่าง ธุรกิจใหญ่ๆ ของโรงงานต่างชาติก็ต้องให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน หากเราสนับสนุนให้เกิดการลงทุนภายในประเทศและกระตุ้นให้เกิดการบริโภค การกระจายรายได้สู่ชนบทนั้นจะเข้มแข็งและเกิดประโยชน์กับประเทศมากกว่าการนั่งทำน๊อตในโรงงานรถยนต์ญี่ปุ่น...
หากผู้นำประเทศและ รมต. คลัง ยอมลดอีโก้ลงมาหน่อย ดิฉันเชื่อว่าไม่มีใครคัดค้านหรอกค่ะถ้ารัฐบาลจะหยิบยก OTOP และ SMEs มาปัดฝุ่นและสนับสนุนอย่างจริงจัง ขอเพียงนโยบายในการบริหารจัดการที่เจ๋งๆ เท่านั้น อัดงบ R&D ให้เยอะๆ แต่ต้องเป็น R&D ที่นำมาใช้ในเชิง commercial ได้ด้วยนะ ไม่ใช่ R&D เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการอย่างเดียว
ก็บอกแล้วว่า ไม่ใช่จะบอกว่าใครเก่งกว่าใคร ใครคนดี ใครคนเลว ใครขี้โกง ใครซื่อสัตย์ แต่ถามว่า "ผลงาน" น่ะมีไหม อะไรใหม่ๆ" นะมีหรือเปล่า ถ้าเป็นแฟนพันธุ์แท้ของรัฐบาลดิฉันว่า มันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะค้นคว้าและศึกษา วิเคราะห์แล้วนำมาถกกัน มากไปกว่าการวิ่งตามตัวเลข ที่....
นะ ช่างเหอะ พูดไปก็กลายเป็นอิฉันกระโดกลับลงไปในอ่างอีกเหมือนเดิม...
ปิดท้ายด้วยคำพูดของใครคนนึง
“คนกรุงเทพฯ เขาไม่รู้หรอกว่า OTOP ทำขึ้นมาก็เพื่อช่วยคนกรุงเทพฯ ทั้งนั้น อยู่บ้านนอก (ต่างจังหวัด) จะทำขนม กล้วยทอด มันทอด น้ำพริก เป็น OTOP พวกบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ก็ต้องสั่งจากโรงงานในกรุงเทพฯทั้งนั้น ยางรัดของก็ต้องซื้อเพิ่ม กระดาษ ถุงพลาสติก ขนส่ง คิดดู เมืองไทยมีกี่ตำบล? ทำขนาดนี้ยังบอกว่าไม่ทำอะไรให้คนกรุงเทพฯ อีก”
ไปล่ะ สวัสดี
ปล. ดิฉันยังเขียนไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เลยค่อยข้างมั่นใจว่าคุณมัสแตง ไป่ฉี และผองเพื่อนยังไม่เห็นภาพอยู่ดี
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 53 01:56:09
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 53 01:43:50
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 53 00:41:50
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 53 00:26:05
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 53 00:09:23
แก้ไขเมื่อ 25 ส.ค. 53 00:03:29
อภิปรายคุณหมูกระแทกประเด็นผลงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แทนคุณไป่ฉีและผองเพื่อน
