ความเข้าใจผิดเรื่อง OTOP
จากที่คุณเข้าใจว่า OTOP จะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้ประเทศโดยตรงนั้น ขอเรียนว่า เป็นความคิดที่ผิด แน่นอนว่าคุณขายรถยนต์ออกไป 1 คัน รายได้ 1,000,000 บาท แล้วคุณต้องขาย "ข้าวแต๋นน้ำแตงโม" ของดีเมืองลำปาง ห่อละ 50 บาทกี่ห่อ ถึงจะสู้กับรถยนต์ 1 คันได้ ?
ไม่มีทางครับ
วัตถุประสงค์ของ OTOP เป็นแนวความคิดทางสังคม ทางเศรษฐกิจชุมชน เพราะเดิมนั้น ชาวบ้านชนบทมีทางเลือกเพียง 2 ทางคือ ทำไร่ทำนาต่อจากพ่อแม่ หรือ เข้าเมืองหางานทำ เป็นคนใช้ เป็นเด็กปั๊ม ขับแท็กซี่ ทำงานโรงงาน ฯลฯ
คุณลองทายดูสิว่า เด็กบ้านนอกจะเลือกทางไหน
- สังคมชนบทกำลังสูญสิ้น ขาดการสานต่อ นโยบาย OTOP มีขึ้นมาเพื่อให้ชุมชน รับรู้คุณค่า และภูมิปัญญาท้องถิ่น ไม่ใช่เพียงให้ไปทำหมูยอ ปั้นโอ่ง ตามแบบเดิมๆ แต่ให้มีการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนาหีบห่อบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการตลาด
- แน่นอนว่า ถ้าเราดูจริงๆ จะพบว่า OTOP ที่มีชื่อเสียง จะมาจาก SME คือ เป็นผู้ประกอบการขนาดย่อม ซึ่งก็โดนกระแนะกระแหนอีกว่า เห็นไม๊ ไม่ใช่ชาวบ้านจริงๆ อันนี้ ถ้าคุณคิดอย่างนั้น ก็ผิดอีก เพราะ SME มักจะเป็นเพียง Organizer หรือ Integrator และถือ Brand เท่านั้น แรงงาน งานฝึมือ วัตถุดิบ ล้วนมาจากชาวบ้าน เป็นส่วนใหญ่
- นโยบาย OTOP จึงเป็นนโยบายทางสังคมมากกว่า เศรษฐกิจ คือ ดึงให้ชาวบ้านนอก กลับบ้าน เรียนรู้ที่จะสร้างเศรษฐกิจชุมขน แทนที่จะเรียนรู้วัตถุนิยมกับค่านิยมผิดๆ ในเมือง
แต่... ลองมองให้ลึกลงไป
คุณจะพบว่า OTOP มีผลพลอยได้หลายอย่าง
- อย่างแรก การสร้างแหล่งท่องเที่ยว ให้น่าสนใจมากขึ้น เช่นเดิม หมู่บ้านนี้มีแต่น้ำตก นักท่องเที่ยวมาเที่ยวน้ำตกแล้วกลับ แต่ถ้ามี OTOP ก็จะแวะหาซื้อของฝาก ของที่ระลึก ของกินระหว่างทางฯลฯ
- อย่างต่อมาคือ สอนให้ประชาชนเข้าใจระบบการตลาด รู้จักการออกแบบ รู้จักการจัดการ รู้จักการนำเสนอ คุณลองไปดู Korakot.net ซึ่งแม้ว่าตัวคุณกรกต จะเรียนจบด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่ฐานการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของเค้าคือ อ.บ้านแหลม และชาวบ้านคือคนงานสำคัญ ส่งเฟอร์นิเจอร์ราคาสูงออกไปทั่วโลก
- สุดท้ายคือ OTOP ทำให้คนมีคุณค่ามากขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น งานที่ชาวบ้านนอกทิ้งบ้านทิ้งช่องมาทำในเมืองส่วนใหญ่เป็นงานบริการ และใช้แรงงานระดับล่าง ล้วนไม่ได้ส่งเสริมให้คนรู้ถึงคุณค่าของตัวเองแต่อย่างใด
คุณอาจคิดว่า "ราคา" ที่ได้มันเทียบกับสินค้าส่งออกอย่างอื่นไม่ได้ แต่ "มูลค่า" ที่ได้นั้นมากมายกว่า "ราคา" เยอะมาก อย่าลืมว่า คุณทักษิณ ไปนำ OTOP มาจากต้นแบบญี่ปุ่น ประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรม แต่ OTOP ของญี่ปุ่น ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรากหญ้าของประเทศญี่ปุ่น และสร้างให้รากหญ้ากลายเป็นไม้ใหญ่มาแล้ว
อย่าดูถูกกัน
อย่างที่ผมพยายามอธิบายแล้วอธิบายอีกว่า ขอความกรุณาอย่าไปติดกับกับ"ตัวเลข" ถ้าคุณอยู่กับ "ตัวเลข" คุณจะไม่อยู่กับ "ความจริง" คุณมัวแต่ไปดูว่า OTOP แค่หมื่นกว่าล้าน "เล็กมาก" แต่คุณดูจำนวนคนหรือไม่ ว่าผู้ได้ผลประโยชน์ จากหมื่นล้านตัวนี้มีกี่คน กับไอ้หลายแสนล้านของคุณนั้น มีผู้ได้ประโยชน์ จริงๆ กี่คน (ใช่ โรงงาน Toyota มีคนงานไทย เยอะมาก แต่เยอะกว่า คนในภาคเกษตรหรือไม่ เยอะกว่าคนใน OTOP หรือไม่? รายได้คนงาน สู้กับ คนทำ OTOP ได้หรือไม่?)
ส่วนที่คุณคิดว่า นักลงทุนเชื่อมั่นในประเทศไทยที่สามารถปราบเสื้อแดงได้ จึงขยายการลงทุน
ผมคิดว่า การลงทุนที่ทำให้ส่งออกกระฉูดนี่ มันเกิดมาก่อนนะ การสร้างโรงงาน แต่ละโรง การออกแบบรถแต่ละรุ่น มันไม่ใช่ทำวันสองวันเสร็จนะ การทำตลาด การสั่งซื้อ ล้วนใช้เวลาทั้งสิ้น
ในทำนองกลับกัน หากนักลงทุน ไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล กว่าเค้าจะถอนการลงทุนออกไป ก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ผมว่า คุณผิดอีกแล้ว ทั้งสองเรื่องมันเกี่ยวกันแค่บางๆ เท่านั้น การ "สื่อสาร" ให้ต่างชาติเข้าใจ ไม่ใช่การ "พูดเก่ง" เพราะโลกยุคปัจจุบัน เป็นโลกแคบ แค่ใครซักคนจาม ก็รู้ไปถึงต่างประเทศแล้ว มันอยู่ที่ "การกระทำ" มากกว่า คุณหลอกใครไม่ได้หรอก (นอกจากคนไทยxxบางคน)
ความไม่ยั่งยืนของรายได้
การลงทุนของต่างชาติ ได้มาจากสิ่งต่อไปนี้ต่างหาก
- นโยบายส่งเสริมการลงทุน
- การให้ประโยชน์ทางด้านภาษี
- ต้นทุนการผลิตของประเทศ (ค่าที่ดิน ค่าน้ำมัน ค่าแรงงาน)
- และในปีนี้ ยังมี FTA อีก ที่ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินลงทุนทำได้ง่ายขึ้น อย่างวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนราคาแพงจากญี่ปุ่น สามารถเข้าไทยได้ง่ายขึ้นมาก จาก JTEPA (เรื่อง FTA, JTEPA มีอะไรแฝงไว้อีกเยอะไว้ว่างๆ จะมาอภิปรายเรื่องนี้) และ FTA กับประเทศอื่นๆ ทำให้การส่งออกรถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์จากไทยออกไปได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ใด้ใช้วาทะศิลป์ของอภิสิทธิ์แม้แต่น้อย แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่ผมพูดมาตั้งแต่ Day 1 คือ เงินแค่ไหลมา แล้วก็ไหลออกไป ...
- แต่ ... คุณอย่าคิดว่า ทุนต่างชาติอย่างญี่ปุ่น จะมาลงเมืองไทยเพราะรักเมืองไทยนะ
- และ ... คุณอย่าคิดว่า คุณทำได้คนเดียว เช่นกัน
- เอาง่ายๆ นโยบายส่งเสริมการลงทุน กับแรงงาน ประเทศเพื่อนบ้านเราทำเหมือนเราไม่ได้หรือ ? แล้ว FTA หละ มีแล้วเช่นกัน ความมั่นคงของรัฐบาล รัฐบาลเวียดนามมั่นคงกว่าเยอะ คุมประเทศอยู่หมัดเลยหละ
- ตอนนี้ ค่าเงินบาท กำลังบาดใจนักลงทุนที่ส่งออก ในขณะที่ เวียดนามลดค่าเงินด่องไป 2 รอบแล้ว
- ในไม่ช้า เงินรายได้ ที่คุณภูมิใจนักหนา จะไปอยู่ที่อื่น ที่มืเงื่อนไขดีกว่า แม้ว่าผู้นำจะหล่อไม่เท่า ผู้ดีไม่เท่าก็ตาม
- รายได้เหล่านี้ ไม่ยั่งยืนแน่นอน
- เพราะเราไม่มี รถยนต์ ยี่ห้อ Hyundai, Gia, Sanyong อย่างเกาหลี ไม่มี Cherry อย่างจีน ไม่มี Tata อย่างอินเดีย หรือแม้แต่ Proton อย่างมาเลเซีย
- เราไม่มี ตู้เย็น ทีวี แอร์ เครื่องซักผ้า อย่าง Samsung, LG, Haier
- เรามียี่ห้ออะไรบ้างหละ ที่ของเราเอง ? (Red bull?, Chang?)
รายได้พวกนี้ จะจากเราไปแน่นอน
แล้วเราจะต้องอยู่กับ ข้าว น้ำตาล มัน ยาง ของเรา "และ" OTOP ของเรา
เดิมผมว่าผมจะทิ้งเรื่องนี้แล้วนะ เพราะผมมีประเด็นการเมืองจะมาแบ่งปันกัน แต่ก็ยังอดไม่ได้ เพราะทนไม่ได้จริงๆ กับที่คุณไป่ฉีดูถูก "เงินก้อนเล็กๆ ของ OTOP ที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ถึง 0.5% เท่านั้น" ของคุณ