 |
[รักคนเสื้อแดง] คนกรุงเทพไม่เอาคนเสื้อแดง เอ่อ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับ
|
|
หมายเหตุ กระทู้นี้ถ้าไม่แสลงใจจนเกินไป โปรดอย่าแจ้งลบนะครับ ผมอุตส่าห์ใช้เวลาเขียนตั้งนาน ผมขอกราบงามๆ ขอบคุณล่วงหน้าไว้ก่อน
เกริ่นนำ
ผมมีความปรารถนาดีกราบเรียนเชิญให้คุณ(คนที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร)ช่วยไปเสาะหาความรู้แสวงหาความเข้าใจเรื่องการบ้านการเมืองทำความรู้จักการเลือกเลือกตั้งท้องถิ่นที่มีความแตกต่างจากการเลือกตั้งสนามใหญ่ (การเลือกตั้งสส.ทั่วประเทศ) เพิ่มเติมกันสักเล็กน้อยบ้าง หาอ่านก็พอนะครับไม่ถึงกับต้องดั้นด้นลงทุนศึกษาเพื่อทำวิจัยค้นคว้าด้วยตนเอง แต่ถ้าจะลงมือทำวิธีง่ายที่สุดก็คือ การทำทำแบบสอบถาม ถ้าไม่มีเงินก็ไปจ้างบริษัทเฉพาะด้านทำ ถ้าเป็นพวกนักเรียนนักศึกษาก็ง่ายต่อการลงมือทำเอง (ถ้าทำเป็น)
การทำแบบสอบถามเป็นการเก็บหาข้อมูลปฐมภูมิเพื่อใช้ในการทำวิเคราะห์หาสาเหตุวิจัยหาปัจจัยที่เป็นตัวแปรต่างๆ เพื่อใช้การตัดสินใจเลือกตั้งสก.และสข. ณ หน่วยเลือกตั้งในตอนนั้น ถ้าทำแบบสอบถามมาวัดผลในตอนนี้ การตอบอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งข้อมูลที่ได้รับก็อาจจะไม่ค่อยตรงกับความเท็จจริงสักเท่าใดนักเพราะกลุ่มตัวอย่างที่เราเข้าไปสุ่มเลือกเก็บข้อมูลอาจจะมีการดราม่าเสริมแต่งบิดเบือนข้อมูลตามธรรมชาติของมนุษย์ ปุถุชนคนธรรมดาเดินดินที่มีรักโลภโกรธหลง
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว บนชัยชนะในการเลือกตั้งสก.สข. ในครั้งก่อนๆ รวมครั้งนี้ และรวมไปถึงชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อมสส.กทม.เขต 6 บนพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของกลุ่มอำนาจนิยม เป็นฐานที่ตั้งของเผด็จการ เป็นเมืองหลวงของอำมาตยา ผมคิดว่าคุณคงจะมีความเข้าใจผิดอย่างแรงที่บอกว่าผลการเลือกตั้งเป็นการบ่งบอกว่าคนกรุงเทพไม่เอาคนเผาบ้านเผาเมือง และในความเข้าใจผิดของคุณยังเป็นความผิดที่ได้กระทำการการกล่าวหากล่าวโทษหมิ่นประมาทหาว่าผู้สมัครโดยรวมเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง
คุณอาจจะยังไม่รู้หรือทราบความจริงบางประการในช่วงที่มีการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่สมัยนปก.ยุคเป็นคนเสื้อหลากสีแต่โพกผ้าเหลืองคมช.ออกไป นักการเมืองท้องถิ่นโดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานคร (สก.สข.) ได้รับคำสั่งจากใครบางคนให้อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องออกเคลื่อนไหวช่วยเหลือทำการยุ่งเกี่ยวหรือเกี่ยวข้อง จนมวลชนเองรู้สึกและสัมผัสได้ว่า ทำไมผู้แทนของเขาไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น สก.สข. หรือระดับชาติอย่าง สส. ถึงไม่มีใครกล้าออกมาแสดงตน และแสดงการช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรืออ้อม บางเวทีใหญ่ของคนเสื้อแดงเอง คุณทักษิณเองยังต้องส่งเสียงเตือนเรียกสส.ให้มาแสดงตนก็ยังมีมาแล้ว
พอผลการเลือกตั้งออกมา (23 ธันวา 2550) ก็มีคนออกมากล่าวโทษนปก.เป็นสาเหตุที่ทำให้พรรคพลังประชาชนในขณะนั้นไม่ประสบความสำเร็จในพื้นที่กทม.อย่างชัดเจน การเลือกตั้งซ่อมสส.กทม.ที่ผ่านมาก็มีวิจารณ์บ้างนิดหน่อยที่คิดว่าคนเสื้อแดงเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้คุณก่อแก้วไม่ได้รับเลือก คำวิเคราะห์วิจารณ์เหล่านั้นผมถือว่าเป็นมุมมองมาจากนักเลือกตั้ง นักเลือกตั้งบางคนเป็นประเภทลักปิดลักเปิด ภัยมาก็มุด ภัยหมดค่อยโผล่ เห็นเวทีวิ่งโร่ เห็นลูกปืนวิ่งหนี นักเลือกตั้งบางคนก็เข้าข่ายประเภทเหยียบเรือสองแคมเป็นโรคกลัวแดด กลัวพระอาทิตย์ไม่ปลื้ม ขืนเสนอหน้ามีหวังถูกพระอาทิตย์ยิงรังสียูวีใส่ใบหน้าให้พัง ใส่ผิวหนังให้ไหม้ จึงชอบอยู่เบื้องหลังมากกว่าอยู่เบื้องหน้าก็ว่ากันไปแล้วแต่ประเภท ลื้ม
เข้าเรื่อง (วิแคะ)
แต่ถ้าจะหยิบยกเอาเฉพาะผลการนับคะแนนมาทำการวิแคะเพื่อใช้ประเมินผลการดำเนินงานของอำมาตย์แอนด์เดอะแก๊ง ในปฏิบัติการล่าฝัน ไล่บี้คนเสื้อแดง ตามฆ่าทักษิณ ที่พวกคุณกล่าวว่าคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง และใครหลายคนกล่าวหาว่าทักษิณเป็นตัวสั่งการ ผมถือว่าสอบตกครับ จากผลคะแนนเลือกตั้งที่เป็นทั้งที่มั่น ที่ตั้ง เป็นฐานที่เป็นศูนย์รวมอำนาจของอำมาตย์ ผมจึงขอถือวิสาสะวิแคะฟันธงถือว่า อำมาตย์ชนะศึกแต่พ่ายสงคราม อย่าลืมนะครับ ว่านี่คือเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางศูนย์รวมอำนาจของอำมาตย์ เป็นที่ตั้งของเผด็จการทหาร เป็นที่ทำการของกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่มีสีเหลืองเป็นตัวแม่ กลุ่มคนเสื้อแพงที่มีจริตนิยมเป็นตัวลูก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทำไมผมวิแคะผลอย่างนั้น (ตัวอักษรสีเหลืองข้างบน) ผมขอสรุปอย่างย่อที่สุดดังนี้
- ด้วยอำนาจรัฐที่ปล้นมาอยู่ในมือ
- ด้วยอำนาจกระบวนการยุติธรรมที่สร้างสองมาตรฐาน
- ด้วยอำนาจทุนที่ฉ้อฉลมาจากภาษีประชาชนและการกู้มามาโกง
- ด้วยอำนาจสื่อที่อยู่ในการครอบครองเพื่อใช้ในการโฆษณามอมเมาผสมโฆษณาชวนเชื่อ
- ด้วยอำนาจทหารที่สามารถสั่งการให้เปิดศึกทำสงครามกับประชาชน
- ด้วยอำนาจการครอบงำทางวิชาการชี้แนะชี้นำสังคม แม้กระทั่งปลายแถวยังเปล่งวาจา "ที่นี่เป็นที่ของผม"
ด้วยศักยภาพที่ล้นเหลือ สรรพกำลังที่ล้นหลาม ทั้งโฆษณามอมเมาผสมโฆษณาชวนเชื่อ ออกวิทยุโทรทัศน์เผยแพร่กระจายเสียงและภาพผ่านศูนย์ไก่อูฉกหัวใจทั้งวี่ทั้งวัน ประชาสัมพันธ์สร้างภาพว่าแดงบุกโรงพยาบาลในวันนั้น เผาบ้านเผาเมืองในวันโน้น ว่าแดงเป็นผู้ก่อการร้ายจากวันวานมาจนถึงทุกวันนี้ ยกทักษิณเทียบเคียงเป็นบิลลาเดน (สะสมกำลัง ค้าขายอาวุธ ) ยออภิสิทธิ์เทียบเทียมผู้นำระดับโลก (ตบหน้ามหาอำนาจผู้นำสหรัฐและรัสเซียแต่ดันมาถูกวอลเปเปอร์เขกมะเหงกใส่กบาล) บางคนเลยเถิดอุตรินำชื่ออภิสิทธิ์เทียบชั้นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า (ประเด็นนี้ยังดีที่ไม่มีใครบ้าจี้กล้าเล่นด้วย)
แต่จำนวนคนกรุงเทพที่ออกมาแสดงใช้สิทธิเลือกตั้งไม่เกินครึ่ง มันช่างดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากกระแสแรงต้นที่สร้างขึ้นมาตามหน้าสื่อในอดีตแต่กลับแผ่วปลายในท้ายที่สุด ผลที่จำนวนคนออกมาใช้สิทธิไม่เกินครึ่งถือว่าเป็นผลงานที่ล้มเหลวของกระบวนการสร้างภาพ กระบวนการสร้างภาพที่ไม่สามารถจะกระตุ้นทำให้คนกรุงเทพที่มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมาก ออกมาใช้สิทธิสำแดงพลังผ่านกระบวนการเลือกตั้ง เพื่อกำจัดพรรคที่คุณกล่าวหากล่าวโทษว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง เป็นผู้ก่อการร้าย ออกมาแสดงพลังด้วยจำนวนคนมากที่มาใช้สิทธิให้กลายเป็นมติเอกฉันท์
ขนาดรณรงค์ประชาสัมพันธ์โฆษณามอมเมาผสมโฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อต่างๆ โดยขนพวกมีต้นทุนสูงทางสัมคม (แต่มีจริยธรรมเสื่อมต่ำเป็นศูนย์หรือติดลบ) ออกมาชี้แนะชี้นำสังคม ทำไมคนกรุงเทพเกือบ 60% ก็ยังเลือกที่จะนอนหลับทับสิทธิ์มากกว่าออกมาใช้สิทธิ์แสดงมติให้เป็นเอกฉันท์ด้วยจำนวนคน สำหรับคนที่ติดงานติดธุระจำเป็นจริงๆ ในวันอาทิตย์จนถึงขนาดออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ น่าจะมีสัดส่วนคิดเป็นจำนวนคนที่น้อย จำนวนคนที่ออกมาใช้สิทธิ์ถ้าคิดเป็นสัดส่วน ผมวิแคะแยกแยะแบ่งได้เป็นดังนี้
- คะแนนที่มาจากการจัดตั้ง 60% โดยยึดตัวบุคคล (สังคมนิยม) และตัวพรรคเป็นหลัก (นโยบายนิยม)
- คะแนนที่มาจากผลการโฆษณามอมเมาผสมโฆษณาชวนเชื่อ 20%
- คะแนนที่มาจากกลุ่มที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองทั้งยึดหลักการและหลักGroo 15%
- คะแนนผีจับยัด 5%
ทั้งนี้ ถ้านำคะแนนของผู้ได้รับเลือกและไม่ได้รับเลือกมากางเทียบเคียงกัน เราจะเห็นได้ว่ามีการเอาชนะกันด้วยคะแนนชนิดหายใจรดต้นคอหลักสิบ หลักร้อย กันหลายเขต จะมีบ้างที่ทิ้งห่างกันหลักพันในเขตยึดครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของชนชั้นสองมาตรฐานมีคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม ประเภทพวกyouโกงไม่ได้ พวกGrooโกงไม่ว่ากัน ด้วยผลคะแนนที่เบียดกันสูสี แถมยังปล่อยให้พรรคเพื่อไทยรักษาจำนวนเสียงเดิมได้ตั้ง 15 เสียง แม้จะมีคนบางคนออกมาทักท้วงอ้างว่าผู้สนับสนุนซึ่งเป็นคนกลุ่มที่มีสปีชีย์ทางการเมืองเดียวกันจะทำการชี้ให้เห็นว่าการลงเลือกตั้งของพรรคการเมืองหนึ่งทำให้ไปตัดคะแนนกันเองของพรรคที่มีพันธุกรรมเดียวกัน ถ้านำมารวมกันพรรคเพื่อไทยน่าจะได้เสียงน้อยกว่านี้ก็ตาม แต่การที่จะฟันธงตีขลุมออกมาบอกว่า ผลการเลือกตั้งที่ออกมาเช่นนี้เพราะคนกรุงเทพไม่เอาพวกเผาบ้านเผาเมือง มันจึงน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด โมเม จินตนาการไปเองซะมากกว่า
ถ้าเป็นไปได้(เป็นไปไม่ได้)ผมก็อยากให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นในจังหวัดที่มีการเผาศาลาว่ากลางเพื่อนำมาเทียบเคียง บางทีผลมันอาจจะออกมาในทางตรงกันข้ามกับผลการเลือกตั้งที่กรุงเทพเมืองหลวงของอำมาตย์ชนิดฟ้ากับเหว ซึ่งโอกาสความน่าจะเป็นมันก็มีแนวโน้มเอียงเอนไปในทิศทางนั้นสูงเช่นกัน แต่ถ้าออกมาในแนวทิศทางเดียวกัน นั่นถึงจะเป็นตัวสะท้อนว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร เป็นการกำหนดทิศทางประเทศว่าต้องการอย่างไร ดังเช่น การเลือกตั้งสส. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2553 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น 44,002,593 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 32,759,009 คน คิดเป็น 74.45% ถือเป็นการใช้สิทธิมากสุดเป็นประวัติการณ์ การออกมาใช้สิทธิมากที่สุดเป็นประวัติการณ์อย่างนี้สิครับถึงจะเป็นของจริงแท้แน่นอน เป็นเสียงส่วนใหญ่แน่นอน เป็นการแสดงให้เห็นว่า
- คนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร และการกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นกับอดีตนายกฯทักษิณและพรรคไทยรักไทย
- คนไทยส่วนใหญ่ต้องการพรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล โดยมีหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคพลังประชาชนจึงได้รับการไว้วางใจจากประชาชนเลือกสส.เข้ามาได้มากเป็นอันดับหนึ่ง
- ที่สำคัญต้องไปดูว่าพรรคพลังประชาชน รณรงค์หาเสียงอย่างไรด้วย
- คนไทยส่วนใหญ่ปฏิเสธผลผลิตของเผด็จการทหาร แม้จะถูกหลอกจากคนกลุ่มหนึ่งที่ชวนเชื่อให้ไปลงประชามติรับไปก่อนแล้วมาแก้ทีหลัง ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้มีการเลือกตั้ง จนได้รัฐธรรมนูญ 50 มาใช้
- ฯลฯ
ผลสรุปบทสุดท้าย พวกอำมาตย์ก็ไม่สามารถใช้อำนาจเผด็จการบดขยี้ทักษิณและทำลายคนเสื้อแดงให้หมดไปจากประเทศไทยได้ เอาง่ายๆ แค่ดูที่ผลจำนวนสก.ของพรรคเพื่อไทยในเมืองหลวงของอำมาตย์ที่ไม่ลดไม่เพิ่มไปจากเดิมสักเท่าไหร่ แถมคะแนนบางเขตที่ไม่ชนะแต่ก็จี้ตามติดชนิดหายใจรดต้นคอ นี่ขนาดผมยังไม่นับการกล่าวหาว่าการเลือกตั้งสกปรก มีการโกง มีการซื้อเสียง มีการซุกบัตร มีการนำบัตรที่โผล่มาในห่อ ไม่ได้อยู่ในหีบตามกฎที่กำหนดไว้ ซึ่งผมขอยกเว้นไม่นำมารวม สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องใครเห็นแย้งกฎหมายก็เปิดช่องให้ร้องเรียน ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ต้องรับเรื่องและตรวจสอบ จะนับใหม่ เลือกใหม่ก็ว่ากันไป เมื่อมองในภาพรวมผมพอที่จะมีสปิริตเคารพและยอมรับมติส่วนใหญ่ และคงจะไม่โทษนั่นโทษนี่ไม่ทำตัวไม่รู้จักคำว่า "แพ้" ไม่ทำตัวไม่รู้จักคำว่า "ชนะ" ไม่ทำตัวไม่รู้จักคำว่า "อภัย" ไม่ทำตัวเป็นประเภทรู้เพียงอย่างเดียวว่า ทำอย่างไรจึงจะต้องให้ได้มา โดยไม่คำนึงถึงวิธีการในการให้ได้มา โดยเอาประเทศเป็นเดิมพัน เอาศักดิ์และศรีในความเป็นชาติเป็นตัวประกัน ทำประชาชนกลายให้เป็นแค่ผู้อยู่อาศัย
ปล. บางพรรคสิแปลกที่นำภาพการบุกยึดทำเนียบมาใช้เป็นป้ายหาเสียง (กึ่งๆกับการประกาศชูเป็นนโยบายว่า ผลงานการยึดทำเนียบปิดสนามบินเป็นงานของเราที่เราภาคภูมิใจ) นั่นล่ะถือเป็นปัจจัยตัวแปรหนึ่งหนึ่งที่ประชาชนจะนำมาใช้พิจารณาตัดสินใจในการเลือกตั้ง สุดท้ายแล้วประชาชนเลือกเข้ามาบ้างไหมครับกับความภาคภูมิใจของใครบางคนหรืออาจจะหลายคน
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 17:46:52
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 17:11:27
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 16:18:41
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 53 16:07:20
จากคุณ |
:
สิงห์สนามหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ส.ค. 53 15:51:08
A:58.8.180.178 X:
|
|
|
|  |