 |
บทความจากหนังสือต้องห้าม:4 ปีรัฐประหาร 4 ปีตาสว่างสิ้นสงสัย มิใช่ 4 ปีที่จะกลับมาปรองดอง
|
|
การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นับว่าเป็นการรัฐประหารที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการเมืองของรัฐไทยแบบโบราณอย่างรุนแรงที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เราจะใช้เวลาในโอกาสครบรอบ 4 ปี รัฐประหารนี้มองการเคลื่อนตัวของสังคมไทยอย่างไร?
โดยโครงสร้างการเมืองของระบอบรัฐไทยแบบโบราณนี้ ได้อาศัยความเชื่อในหลักศาสนาพราหมณ์เกี่ยวกับชาติกำเนิด โลกนี้ โลกหน้า และวรรณะของมนุษย์มากล่อมเกลาพฤติกรรมของประชาชนให้ยอมจำนนต่อความยากจนว่า เป็นเรื่องของชะตาชีวิตมิใช่เกิดจากการเอาเปรียบกดขี่ของผู้ปกครอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรคนยากคนจนซึ่งเป็นฐานประชากรที่ใหญ่ที่สุด จึงเป็นเป้าหมายในการครอบงำเพื่อค้ำจุนระบอบรัฐไทยแบบโบราณนี้
แต่ 4 ปีที่ผ่านมากลับปรากฏกลุ่มเกษตรกรคนชั้นล่างกลายเป็นกลุ่มบุคคลที่เกิดภาวะตาสว่างสิ้นสงสัยมากกว่ากลุ่มชนชั้นใดทั้งหมด
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อ 30 กว่าปีก่อนที่เราขนานนามว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางความคิดแห่งประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น ผู้ที่ตาสว่างสิ้นสงสัยเป็นเพียงปัญญาชนกลุ่มเล็กๆเท่านั้น
แต่วันนี้ภาวะหูตาสว่างสิ้นสงสัยกลับกลายเป็นกลุ่มเกษตรกรคนยากคนจนที่เป็นฐานรากของสังคมระบอบปกครองโบราณ เมื่อเป็นเช่นนี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แม้รัฐบาลอภิสิทธิ์จะจับกุมและเข่นฆ่าประชาชนผู้คิดต่างต่อระบอบโบราณ ก็เชื่อได้เลยว่าคุกจะไม่พอใส่ประชาชนผู้คนจะล้มตายเป็นกองภูเขา ทหารของ(เซ็นเซอร์)พร้อมจะฆ่าประชาชนอีกรอบหนึ่งหรือ?
ใครที่สนใจการเคลื่อนตัวของสังคมจำเป็นจะต้องเฝ้ามองการหลุดพ้นจากพันธนาการทางความคิดของภาวะซาบซึ้งและภาวะสิ้นสงสัยของประชาชน เพราะนั่นคือสัญญาณการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองครั้งใหญ่
4 ปีที่ผ่านมาจะด้วยความโง่เขลาหรือด้วยความชาญฉลาดของผู้กุมโครงสร้างอำนาจรัฐแบบโบราณนี้ก็ตามที แต่โดยผลจากการกระทำที่ไม่เป็นธรรม(บังคับใช้กฎหมายแบบ 2 มาตรฐาน และอุ้มผู้กระทำผิด) ซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้กลายเป็นสารกระตุ้นให้เกิดภาวะตาสว่างสิ้นสงสัยด้วยอัตราเร่งที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พัฒนาการทางการเมืองของไทย
มาดูเหตุการณ์ที่สำคัญเพียงบางเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะสิ้นสงสัย
1. นับตั้งแต่การถวายฎีกา 3 ล้านกว่าฉบับของคนเสื้อแดง จนถึงการสั่งฆ่าประชาชนจากผ่านฟ้าถึงราชประสงค์อย่างหฤโหด เพียงเพราะประชาชนร้องขอการยุบสภาด้วย 2 มือเปล่า ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลเทพประทานกลับไม่ดูดำดูดีและพร่ำพูดถากถางว่าเป็นผู้ก่อการร้าย รวมตลอดทั้งทหารที่มือเปื้อนเลือดก็ได้ดิบได้ดียกแผง ส่งผลให้เกิดภาวะสิ้นสงสัยว่าระบอบการปกครองที่เป็นอยู่นี้มิใช่ระบอบประชาธิปไตยแน่นอนและเป็นระบอบที่ประชาชนพึ่งพิงไม่ได้ เพราะผู้มีอำนาจรัฐนี้โหดร้ายต่อคนยากคนจนและมิได้รักคนยากคนจนจริงตามที่พวกเขาเคยเชื่อกันมา
2.เหตุการณ์ที่ทหารฆ่าประชาชนกลางถนนเคยเกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนับตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา ซึ่งก็ปรากฏว่าทุกเหตุการณ์จะจบภายในวันเดียวโดย(เซ็นเซอร์)เป็นผู้ยุติความรุนแรง แต่เหตุการณ์จากผ่านฟ้าถึงราชประสงค์ทหารเข่นฆ่าประชาชนมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากที่สุด และต่อเนื่องยาวนานกว่า 1 เดือน แต่กลับไม่เห็นบารมีของ(เซ็นเซอร์)ยุติความรุนแรง ส่งผลให้เกิดภาวะสิ้นสงสัยว่า ( เซ็นเซอร์)
3. คำสั่งของอัยการไม่ฟ้องพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ องคมนตรี กรณีการครอบครองยอดเขายายเที่ยง ด้วยเหตุผลว่าขาดเจตนา ส่งผลให้เกิดภาวะสิ้นสงสัยว่าระบอบกฎหมายของไทยมีชนชั้น คนจนจะถูกบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ แต่ขุนนางและคนรวยจะได้รับการผ่อนปรน
4. พันธมิตรเสื้อเหลืองปิดถนนราชดำเนินนานเกือบ 7 เดือน ไม่ถูกดำเนินคดี แต่ชาวนาจังหวัดเชียงรายปิดถนนที่อำเภอพานประท้วงราคาข้าวเปลือกตกต่ำประมาณ 1 ชั่วโมง ถูกตำรวจจับส่งฟ้องศาล ศาลสั่งจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่งผลให้เกิดภาวะสิ้นสงสัยว่าม็อบคนชั้นกลางมีเส้นทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าเป็นม็อบคนจนต่อสู้เพื่อปากท้องจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ดังนั้นเสรีภาพของคนจนจึงกลายเป็นเครื่องเซ่นสักการะความศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎหมายไทย
5. กรณีมีผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ในเหตุการณ์พันธมิตรเสื้อเหลืองล้อมกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจยิงแก๊สน้ำตาสลายฝูงชน (เซ็นเซอร์)ไปเผาศพ และช่วยเหลือดูแลผู้บาดเจ็บทั้งหมด แต่กรณีทหารใช้ M16 ยิงประชาชนตายมากถึง 91 ศพ และบาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน ในเหตุการณ์ผ่านฟ้า-ราชประสงค์ กลับไม่มีใครเหลียวแล ส่งผลให้เกิดภาวะสิ้นสงสัยว่าการชุมนุมเพื่อล้มรัฐบาลสมัคร-สมชาย เป็นม็อบเส้นใหญ่จริง
6. ม็อบพันธมิตรขับรถชนตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และยังขับรถถอยหลังย้อนกลับมาเพื่อทับตำรวจให้ตาย มีเจตนาฆ่าเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยชัดเจนในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยต่อสู่คดีถึงที่สุดไม่สารภาพ ศาลตัดสินจำคุก แต่ปราณีให้รอลงอาญา ส่วนกรณีของพราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมชาติ พราหมณ์เสื้อแดงเทเลือดสาปแช่งหน้าพรรคประชาธิปัตย์และหน้าบ้านนายกฯ อภิสิทธิ์ในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 2553 ถูกตั้งข้อหาชุมนุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โทษไม่รุนแรง อีกทั้งพราหมณ์ท่านนี้ไปมอบตัวและสารภาพทุกข้อหา ศาลกลับลงโทษหนักตัดสินจำคุก 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ส่งผลให้เกิดภาวะสิ้นสงสัยว่าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้เกลียดคนเสื้อแดงและกระบวนการยุติธรรมของไทย ผู้มีอำนาจมือที่มองไม่เห็นสามารถสั่งการคำพิพากษาได้จริง
และแล้วล่าสุดผู้ที่เป็นกระบอกเสียงเปิดโปงกระบวนการยุติธรรมของไทยว่ามีอำนาจลึกลับสั่งการได้จริง เผยแพร่ต่อสากลทั่วโลก คือจดหมายประท้วง 3 ฉบับ ของทูตจากราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย กรณี พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม นายตำรวจที่พัวพันกับการฆ่าคนสัญชาติซาอุดิอาระเบียในประเทศไทยที่เกี่ยวเนื่องกับการหายของเพชรบลูไดมอนด์ซึ่งเป็นเพชรของราชวงศ์ซาอุฯ เมื่อพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ถูกฟ้องศาลแล้ว กลับได้รับการปูนบำเหน็จให้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นถึงผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เหตุการณ์นี้นับว่าเป็นการโจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างรุนแรงที่สุด และเชื่อมโยงกับความสงสัยมายาวนานของชาวไทยและชาวโลกเกี่ยวกับการสูญหายของเพชรบลูไดมอนด์ในประเทศไทยว่า น่าจะอยู่ในมือ ผู้มีอำนาจลึกลับอย่างที่เป็นข่าวลือดังที่คนสงสัยใช่หรือไม่
ภาวะสิ้นสงสัยในระบอบรัฐเก่าที่ประชาชนเคยเชื่อว่ามีหลักมีเกณฑ์พึ่งพิงได้เหมือนพ่อปกครองลูก กำลังเป็นแผลอักเสบขั้นรุนแรงยากที่จะเยียวยาให้กลับคืนมาดังเดิมได้
ปรากฏการณ์ 2 มาตรฐาน และการช่วยเหลือผู้กระทำผิดที่ทำถูกใจฉันในกระบวนการยุติธรรม เช่นนี้นับว่าเป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของโครงสร้างรัฐเก่านี้อย่างยิ่ง และที่อันตรายอย่างยิ่งและยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ก็คือ รัฐบาลแม่ยกอภิสิทธิ์- เนวินกระทำการทุจริตอย่างโจ่งแจ้งในขณะที่ปากกำลังเคี้ยวอย่างมูมมามก็กล่าวตะโกนประกาศความจงรักภักดีจนเศษอาหารกระเด็นเปื้อนหน้าชาวบ้าน เช่นการทุจริตในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ชุมชนพอเพียง และการทุจริตแจกข้าว 60 ล้านถุงเฉลิมพระเกียรติครองราชย์ 60 ปี เป็นต้น แต่กลับได้รับการคุ้มครองจากทหารยิ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อ(เซ็นเซอร์)มากยิ่งขึ้น
อยากจะถามว่าพฤติกรรมที่เน่าเฟะของรัฐบาลแม่ยกเช่นนี้จะสามารถปกป้องโครงสร้างรัฐที่ไร้คุณธรรมนี้ได้หรือ และยิ่งปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าในโครงสร้างอำนาจรัฐโบราณส่วนบนกำลังแย่งชิงอำนาจกันโดยไม่รู้จะออกหัวหรือออกก้อยหรือออกกลางด้วยแล้วก็ยิ่งมองเห็นชัดว่าการมีรัฐบาลหุ่นเชิดแม่ยกเป็นทางออกที่ตีบตันเต็มที
4 ปี รัฐประหาร 4 ปี ตาสว่างสิ้นสงสัย ภาวะวิสัยวันนี้จึงมิใช่การปรองดองกันในโครงสร้างสังคมที่กำลังจะพังทลายแต่เป็นภาวะวิสัยของการเตรียมรับการพังทลายของโครงสร้างรัฐเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องสูญเสียชีวิตอย่างมากมายเช่นที่ผ่านมาอีก
จากคุณ |
:
อดิศร1
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.ย. 53 11:58:40
A:125.26.31.27 X:
|
|
|
|  |