ประเด็นฮ้อตสุดๆตอนนี้เห็นทีจะไม่มีอะไรเทียบเท่าวิกฤตเงินบาทแข็งค่าอีกแล้ว
ล่าสุด ดร.โกร่ง เกรี้ยวถึงควันออกหู
ตวาด ธปท.แบบไม่เลี้ยงเลยอ่ะ
แหม..ท่านก็ดุได้ถนัดปากอะดิ เพราะอดีตลูกศิษย์ท่านเป็นผู้ดูแลค่าเงินของประเทศในเวลานี้นี่นา ท่านดุถึงขนาดว่า แบ็งค์ชาติใจร้าย ใจดำ..โง่เขลาด้วยอ่ะ
!!!
ฟังแล้วก็คิดในแง่ดีค่ะว่า ท่านโกร่งคงดุเพราะรักอ่ะนะ ต้องไม่ใช่เพราะท่านแอบใส่เสื้อสีกะเค้าด้วยหรอกเนอะ
อิอิ
ท่านโกร่งขา
ท่านว่าคนแบ็งค์ชาติใจร้าย ใจดำ แล้วท่านไม่กลัวเค้าย้อนท่านบ้างเหรอ ที่ท่านพูดซะเหมือนประเทศจะล่มจมเพราะเงินบาทแข็งค่า ท่านพูดถึงต้มยำกุ้งว่าจะเกิดรอบสองทีเดียวเชียว
.ไม่ใจร้ายใจดำไปหน่อยเหรอคะท่าน พวกหนูฟังแล้วตกใจนะเอ้อ!!!
----------------------------------------------------------------------------------------------------
เนื่องจากเริ่มเกิดอาการวิตกจริต หลังฟังกูรูใหญ่ทางเศรษฐ์ศาสตร์ทำนายอนาคตเศรษฐกิจไทยว่าจะพังเพราะแบ็งค์ชาติ อย่ากระนั้นเลยเรามาตรวจสุขภาพประเทศไทยกันซะหน่อยดีกว่า
ก็เอาแบบบ้านๆนี่แหละคะ จะอะไรมากมาย เพราะเราก็แค่ชาวบ้านมิใช่กูรูเหมือนท่านโกร่งนี่นะ
ขั้นแรกก็ดูว่า เงินบาทที่แข็งค่าเนี่ยะ แข็งเพราะเศรษฐกิจเราดี หรือเพราะถูกกองทุนอีแร้งโจมตี ดังที่ท่านกูรูว่า
ง่ายๆก็นำข้อมูลด้านเศรษฐกิจมาสำรวจดูซิ
อันดับแรก ดูการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ครึ่งปีโต 9.1% ล่าสุดนายกเพิ่มการคาดการณ์ว่าจบปี 2553 น่าจะโต 8% (เพิ่มจากเดิมที่คาดไว้ 7.5 %)
อัตราการว่างงาน 1 %
ผลประกอบการภาคเอกชนครึ่งปี 2553 เฉพาะที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กำไรเติบโต 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 24 %
การจัดเก็บรายได้รัฐเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 2.44 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 23.4% ส่งผลให้งวด 11 เดือนปีงบประมาณ 2553 สูงกว่าประมาณการ 25.3% สาเหตุจากเศรษฐกิจขยายตัวดี
ในไตรมาส 2 ดุลบัญชีทุนเกินดุล 3,222 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1,297 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดุลการชำระเงินเกินดุล 4,926 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
การลงทุนโดยตรงสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2553 มีมูลค่า 1,542 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 365 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทำให้ดุลบัญชีทุนเกินดุลนั่นเอง
การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติมีมูลค่า 2.040 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 62.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
การลงทุนในต่างประเทศลดลง 498 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือเงินทุนไหลออกลดลงร้อยละ 46.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ก็ดูดีทั้งหมดนะคะ ตัวเลขต่างๆที่แสดงสุขภาพของประเทศ ไม่น่าห่วงอย่างที่พยายามจะโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์กันเลยนี่
งั้นลองมาดูผลสำรวจล่าสุดของ ม.หอการค้าบ้างค่ะ ดูว่าประชาชนเค้าคิดยังไง
ปรากฏว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน กย.53 เพิ่มขึ้นจาก 80.8 เป็น 81.5 สูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี นับแต่เดือน ธค.49
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมเดือน กย.53 อยู่ที่ 73.5 สูงขึ้นจาก 72.8 ในเดือน สค.ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในโอกาสการหางานทำก็สูงขึ้นจาก 71.6 ในเดือนสิงหาคม มาอยู่ที่ 72.5 ในเดือนกันยายน
สุดท้ายคือดัชนีความเชื่อมั่นในเกี่ยวกับรายได้อนาคตก็สูงขึ้นเช่นกัน จาก 98.1 มาอยู่ที่ 98.7
ดัชนีความเชื่อมั่นย่อมมีผลอย่างมากกับการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะถ้าภาคเอกชนหรือประชาชนขาดความเชื่อมันเสียแล้ว การลงทุน การบริโภคก็จะหดตัว ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่ทำให้เศรษฐกิจหดตัวจริงตาม
ข้อมูลที่รวบรวมมาแสดงให้เห็นถึงสุขภาพประเทศที่แข็งแรงพอสมควรทีเดียว
ดังนั้นการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็น่าจะมาจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวมากกว่าที่จะเป็นการโจมตีค่าเงินโดยกองทุนอีแร้งนะคะ แน่นอนค่ะ กองทุนเก็งกำไรย่อมมีอยู่แล้วเป็นปกติ แต่ไม่น่าจะมีสัดส่วนที่มากกว่าการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีในประเทศไทยโดยปกติ
และจากผลการตรวจสุขภาพข้างต้น ประเทศเราน่าจะมีความแข็งแกร่งพอที่จะรองรับวิกฤตค่าเงินบาทแข็งค่าได้ อีกทั้งผู้ว่าแบ็งค์ชาติท่านใหม่ก็ไม่ใช่ธรรมดา ท่านมีประสบการณ์หลากหลาย มีทีมงานที่ดี และข้อสำคัญสามารถทำงานเป็นทีมกับ รมว.คลังได้ดี
และแนวความคิดเท่าที่จับได้จากมาตรการที่ทยอยออกมาก็ถือว่าท่านเข้าใจในสถานการณ์อย่างดี ท่านไม่โฉ่งฉ่างทำแบบนิ่มๆ คำนึงถึงผลในระยะยาวด้วย
ที่สำคัญที่ไม่ควรละไว้คือ ปัญหาค่าเงินเป็นวิกฤตของโลกไปแล้วนะคะ ไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้นเราน่าจะเห็นความร่วมมือในการแก้ปัญหาในระดับโลกก็เป็นได้
ไม่วิตกเท่าไหร่แล้วค่ะ จริงๆ