ประโยคข้างต้นนี้จำไม่ได้แล้วว่า ได้อ่าน หรือ ได้ฟัง มาจากไหน แต่เมื่อก่อนนี้ก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะไม่เคยเห็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
แต่มาถึงวันนี้ ผมเข้าใจหมดแล้ว เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งจริงๆ
คนๆ หนึ่งยามไม่มีอำนาจวาสนา ไม่ได้มีหน้าที่อะไร จะพูด จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเช่นไร จะแสดงวิสัยทัศน์อันเฉียบแหลมคมคายอย่างไรก็ได้
จะแสร้งทำตัวเป็นคนดิบคนดี เป็นคนเก่ง เป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนมีหลักการ อย่างไรก็ได้อีก
เพราะไม่ได้ลงมือลงแรงทำเอง เพียงแต่ใช้ปากและโวหารทำงานเท่านั้น!!!
แต่พอมาวันหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้รับอำนาจหน้าที่มา (จะด้วยวิธีการอะไรก็แล้วแต่) ถึงคราวจะต้องอวดฝีมือให้เห็นประจักษ์
วันนี้ คนๆ นั้นก็เหมือนได้มาเปลือยล่อนจ้อน อวดสรีระต่อหน้าธารกำนัล สิ่งที่เคยพูด เคยวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น เคยแสดงวิสัยทัศน์เอาไว้ ถ้าทำได้อย่างปากพูดก็ดีไป
แต่หากทำไม่ได้อย่างที่ปากเคยพูด แรงสะท้อนกลับก็จะแรงมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
ถึงวันนี้ "เขา" คงจะรู้แล้วว่า "ทำงานด้วยปาก มันง่ายกว่า ทำงานด้วยสมองและแรง"
ขอบคุณจริงๆ สำหรับผู้ที่หยิบยื่น "อำนาจ" มาให้เขา เพื่อให้เราได้รู้จัก "คนบางคน" อย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋
มิเช่นนั้นหลายคนก็ยังคงจะเข้าใจผิดคิดอยู่ว่า สิ่งที่เห็นแววๆ วาวๆ สะท้อนแสงได้มันคือ "เพชร" แต่ที่แท้มันก็แค่ "เศษกระจกแตก" เท่านั้น!
ขอบคุณอีกครั้งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ได้รู้แล้วว่าอะไร "ของจริง" อะไร "ของปลอม"!!!!
////////////////////
***อย่าอุ้มกระทู้ผมนะ เพราะนี่คือหลักการ ไม่ได้พาดพิง ใส่ร้ายใคร*** หุหุ