ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ๊กมาจากเมืองจีนถือหลักตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า อุตฐาตา วินธเต ธนัง แปลว่า ผู้หมั่นย่อมหาทรัพย์ได้จึงทำงาน ๘ วันในหนึ่งสัปดาห์ แม้จะเคยมีเสื่อผืนหมอนใบ ต่อมาก็ร่ำรวยเป็นเจ้าสัวได้ ส่วนคนไทยรำพึงว่า เช้าหนอ สายหนอ ร้อนหนอ บ่ายหนอ แล้วก็ไม่ทำงาน และอ้างเหตุว่าพระสอนว่าคนเราเกิดมา...ตัวเปล่าตายก็เปล่า เอาทรัพย์อะไรไปไม่ได้ จะไปทำมาหาทรัพย์ไว้ทำไม
นอกจากนั้นคนไทยยังมีคุณสมบัติ ๔ ข้อ คือ ขี้โม้ ขี้อิจฉา ขี้โกง และขี้เกียจ โดยเฉพาะคุณสมบัติข้อสุดท้าย ทำให้คนไทยยากจน แต่บังเอิญบ้านคนไทยปลูกติดอยู่กับบ้านเจ๊ก
คนไทยขี้อิจฉาคนนั้นหมั่นไส้ว่าเจ๊กรวย วันดีคืนดี (ความจริงวันร้ายคืนร้าย) ...ก็ย่องเอาก้อนอิฐไปปาบ้านเจ๊ก เจ๊กจึงไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนแล้วก็ส่งเรื่องให้ขุนประเคนคดี พนักงานอัยการฟ้องศาลซึ่งมีหลวงสันทัดกรณีเป็นผู้พิพากษา หลวงสันทัดกรณีสืบพยานฟังข้อเท็จจริงแล้ว พิพากษาว่า
ไทยปาเรือนเจ๊ก
ไม่ถูกลูกเด็ก
ท่านว่าไม่เป็นไร
ให้ยกฟ้อง
...เจ๊กกลับบ้านไปด้วยความผิดหวังและรำพึงว่า เมื่อศาลไม่มีจะฟ้องร้องก็ต้องประลองฝีมือกัน วันดีคืนดี (ความจริงวันร้ายคืนร้าย) เจ๊กก็เอาก้อนอิฐไปปาบ้านไทย คนไทยก็ไปแจ้งความ และขุนประเคนคดี พนักงานอัยการ ก็นำคดีไปฟ้องศาลซึ่งมีหลวงสันทัดกรณีเป็นผู้พิพากษา หลวงสันทัดกรณีสืบพยานฟังข้อเท็จริงแล้วพิพากษาว่า
เจ๊กปาเรือนไทย
แม้ไม่ถูกใคร
แต่ผีเรือนตกใจ
ให้ไหมสามตำลึง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การมีผีเรือนทำให้ชนะคดีได้
คัดบางส่วนจากบทความของ นายสถิตย์ ไพเราะ
http://www.enlightened-jurists.com/page/167