แหม ในที่สุดก็มีความเห็นจากฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลในเรื่องเศรษฐกิจสักที และเจ้าหญิงขี้ม้าขาวที่ออกหน้ามาเป็นปากเป็นเสียงให้รัฐบาล ก็ไม่ใช่ใคร คุณโพ้นฟ้า นั้นเอง และยินดีที่ได้รู้จักครับ วันนี้เลยขอถือโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูลกันนะครับ แต่ก่อนอื่นต้องขอชี้แจงก่อนว่า ผมไม่ได้เชื่อตามที่คนอื่นกล่าวอ้าง และไม่ใช่นักรบไซเบอร์ตามที่คุณโพ้นฟ้าได้บอกนะครับ (ไม่รู้ร้อนตัวไปเองรีเปล่า 555) ผมเป็นเพียงช่างกิ๊กก็อกต๊อกต๋อยในโรงงานซ่อมซ่อแห่งหนึ่งก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีภูมิความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ที่นำเรื่องเศรษฐกิจมาอภิปราย ก็เพราะ ผมรู้จักคิดและค้นหาข้อมูลเพื่อแสวงหาความจริงครับ
แต่ผมไม่ได้จะมาอภิปรายโต้แย้งถึงข้อมูลที่คุณโพ้นฟ้าได้นำมาประกอบความชื่นชมส่วนตัว ว่ารัฐบาลนี้ก็หาเงินเป็น เพราะข้อมูลที่คุณโพ้นฟ้านำมามันเป็นเรื่องจริงครับ ซึ่งผมขอนุญาตนำมาอ้างอิงประกอบการอภิปรายอีกครั้งนะครับ แล้วผมจะชี้ว่าผมกับคุณโพ้นฟ้าเห็นต่างกันอย่างไร
(ข้อมูลที่คุณโพ้นฟ้านำมาอ้างอิง)
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือนกันยายน 2553 จัดเก็บได้ 8.5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 13,000 ล้านบาท ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2553 สูงกว่าประมาณการ 3.3 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 24.4
(ข้อมูลของผมที่นำมาอ้างอิง)
แต่ในปีก่อนหน้านี้ ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลประจำเดือนกันยายน 2552 รัฐบาลจัดเก็บรายได้ 8.0 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 3.8 พันล้านบาท
จากตามข้อมูลนี้ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ น่าจะ(ผมใช้คำว่า น่าจะนะครับ) มีความสามารถในการหารายได้ให้เข้าตามเป้าหมาย เพราะอะไรล่ะ..? ผมถึงเห็นต่างจากที่คุณโพ้นฟ้าเห็นต่างทั้งๆที่เป็นตัวเลขข้อมูลเดียวกัน
ลองสังเกตุดูที่เป้าหมายการจัดเก็บรายได้สิครับ ปี 2553 แม้ในข้อมูลที่นำมาอ้างอิง ถึงจะไม่ได้บอกถึงเป้าหมายการจัดเก็บไว้ แต่ก็สามารถคำนวนได้ โดยใช้วิธีคำนวนย้อนจากตัวเลขในข้อมูลประกอบ ตามหลักคณิตศาสตร์พื้นฐานครับ
ซึ่งเท่ากับว่า ปี 2552 เป้าจัดเก็บจะอยู่ที่ 7.6 หมื่นล้าน ( 8.0-0.38)
แล้วไหง ปี 2553 เป้าหมายจัดเก็บกลับลดลง เหลือ 7.2 หมื่นล้าน( 8.5- 1.3 )ล่ะครับ หายไปไหน 4 พันล้าน แปลว่าอะไรครับ ก็แปลว่า รัฐบาลหรือกระทรวงฯคลัง ได้ประเมินไว้แล้วว่า หากตั้งเป้าหมายการจัดเก็บไว้เท่าเดิม หรือสูงกว่าเป้าเดิม จะไม่มีตัวเลขการจัดเก็บสุทธิทั้งปีสูงกว่าเป้าหมายร้อยละ 24.4 ให้คุณโพ้นฟ้าได้ปลื้มอกปลื้มใจ ว่ารัฐบาลของฉันเก่ง
แล้วหลักการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ตามหลักสากลแล้ว ไม่มีใครหรอกครับ ที่จะตั้งเป้าหมายให้ต่ำลง ยกตัวอย่างการตั้งเป้า target (คำนี้สาวโรงงานรู้จักกันดี) ในไลน์การผลิตของโรงงานที่ผลิตสินค้าออกมาเท่าไรก็ไม่พอขาย หัวหน้าไลน์จะตั้งเป้า target ให้เพิ่มขึ้นทุกวัน จนถึงที่สุดกำลังแรงงานการผลิตจะทำได้แล้ว จึงจะหยุดตั้งให้สูงกว่าเดิม แต่ถ้าเมื่อไรที่หัวหน้าไลน์ตั้งเป้าให้น้อยกว่าความเป็นจริง ก็แสดงว่า หัวหน้าไลน์ผลิต ตั้งใจจะเอาตัวเลขที่ผลิตได้จริงแล้วสูงกว่าเป้าหมาย ไปเสนอหน้ารับผลงานจากผู้จัดการโรงงานไงครับ (ขออภัย ที่อธิบายภาษาคนโรงงาน)
เป้าหมายการจัดเก็บภาษี หน่วยงานที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีต้องเป็นคนทำขึ้นครับ อาจจะมีปรึกษาหารือกับกระทรวงบ้าง แต่ที่สุดแล้ว อำนาจการกำหนดเป้าหมายอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังครับ เพราะถ้ารมต.เห็นว่าสูงไป ดูแล้วอาจจะทำให้เห็นว่าไม่มีผลงาน ก็สั่งให้กรมต่างๆกลับไปพิจารณาใหม่ ซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ ข้าราชการประจำ ไม่ค่อยกล้าขัดใจนักการเมืองหรอกครับ
ตั้งเป้าต่ำกว่าเดิมจากปีก่อน แสดงให้ผมรู้ว่า เรื่องที่รัฐจัดเก็บภาษีได้สูงกว่าเป้า ไม่ใช่เครื่องชี้วัดว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์หาเงินเก่งแต่อย่างไร ต่อให้ผมไปเป็นนายกผมก็ทำได้ แค่จัดเก็บสูงกว่าเป้าแค่นี้เอง ไม่เห็นจะยาก จะเอาให้สูงกว่าเป้าหมาย 100% เลยก็ยังไหว (ขออนุญาตโม้หน่อยนะครับ คงไม่ว่ากัน)
เรื่องที่ 2 เงินคงคลัง ขออธิบายนิดให้ผู้ที่เข้าติดตามการอภิปรายได้รู้ว่า เงินคงคลังคืออะไร
เงินคงคลัง หมายถึง เงินที่เหลือจากการใช้จ่ายในปีก่อนๆ ซึ่งรัฐบาลเก็บสะสมไว้ ในปีที่รายจ่ายสูงเกินกว่ารายได้และรัฐบาลไม่ต้องการก่อหนี้เพิ่มขึ้นสามารถนำออกมาใช้ ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
และผมขอใช้ ข้อมูลในเดือนที่ใกล้เคียงกันมาเปรียบเทียบประกอบกับข้อมูลของคุณโพ้นฟ้านะครับ จะได้รู้ว่าสภาพเงินคงคลังเราเป็นอย่างไร
(ข้อมูลของคุณโพ้นฟ้า)
นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ฐานะการคลังใน ช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ( ต.ค.53-ก.ย.54) ยังคงเข้มแข็งโดยเงินคงคลัง ณ สิ้นพฤศจิกายน 2553 มีจำนวน 2.4 แสนล้านบาท จากรายได้รัฐบาลที่เก็บได้เกินเป้า ตลอดจนการเร่งดำเนินบทบาทในกากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการเบิกจ่ายงบประมาณ
(ข้อมูลที่ผมนำมาอ้างอิง)
กระทรวงการคลัง แถลงว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,238,302 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 20.9 โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากการบริโภคและการนำเข้าได้เพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งได้รับเงินยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 49,016 ล้านบาท โดยมีเงินคงคลังณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 จำนวน 3.6 แสนล้านบาท
สรุปเมื่อนำ 2 ข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน เงินคงคลังเดือนมิถุนายน 2553 มีจำนวน 3.6 แสนล้านบาท ขณะที่เงินคงคลังเดือนพฤศจิกายน 2553 มีจำนวน 2.4 แสนล้านบาท ดูแล้วผมสงสัยครับ ว่า มันเพิ่มขึ้นตรงไหนหว่า... ผ่านมา 5 เดือน ลดไป 1.2 แสนล้านบาท
แต่ถ้าให้ความเป็นธรรมในสิทธิการอ้างผลงานของรัฐบาลก็คงต้องบอกว่าใช้ตัวเลขนี้เพียงชุดเดียวไม่ได้ ต้องใช้ตัวเลขของเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้วประกอบด้วย ซึ่งก็คือ
(ข้อมูลที่ผมนำมาประกอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลชุดนี้)
นายสาธิต รังคสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในเดือน พฤศจิกายน 2552 ว่า รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วค่อนข้างมาก นโยบายงบประมาณขาดดุลนี้ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณ 71,973 ล้านบาท และส่งผลให้ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2553 รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 113,228 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้ออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุลเงินสด 31,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด ทั้งสิ้น 82,228 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2552 มีจำนวนทั้งสิ้น 211,606 ล้านบาท(2.1 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นระดับที่มีความมั่นคง
สรุปก็คือ เงินคงคลังช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 มีจำนวน 2.1 แสนล้านบาท
เมื่อเทียบกับ เงินคงคลังช่วงเดือนพฤศจิกายน 2553 ที่มีจำนวน 2.4 แสนล้านบาท เรามีฐานะเงินคงคลังเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.3 แสนล้านบาท จริงครับ แต่มาจากไหนล่ะ มาจากการบริหารงานอันทรงประสิทธิภาพของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หรือเปล่า คำตอบก็อยู่ในข้อมูลที่คุณโพ้นฟ้านำมาอ้างอิง เพียงแต่ว่าคุณโพ้นฟ้านำมาประกอบการอภิปรายไม่ครบ เพราะอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญก็เท่านั้นเอง แต่เพราะท่อนหลังที่หายไป ได้บอกว่าเงินสดคงคลังที่ได้เพิ่มขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งผมขออนุญาตยกข้อมูลทั้งหมดมาประกอบการอภิปรายนะครับ
(ท่อนหลังของการแถลง ต่อจากที่คุณโพ้นฟ้านำท่อนแรกมาใช้ประกอบการอภิปราย)
ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 ว่า รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 249,864 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 15,919 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 โดยเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาท ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น ทำให้การจัดเก็บภาษีของ 3 กรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.7 ในขณะที่การเบิกจ่ายเงินงบประมาณมีจำนวนทั้งสิ้น 430,604 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินงบประมาณ 180,740 ล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดดุลเงินนอกงบประมาณ 45,105 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 225,845 ล้านบาท โดยรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 36,021 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินสดหลังกู้ขาดดุลทั้งสิ้น 189,824 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2553 มีจำนวน 239,498 ล้านบาท
ข้อความที่ผมขีดเส้นใต้ไว้(ข้อมูลที่ผมอ้างอิงก็มีในส่วนนี้ด้วย แต่ไม่ได้ขีดเส้นใต้ไว้) คงพอให้คำตอบได้นะครับ ว่ามันเพิ่มมาจากไหน แปลว่า ถ้าไม่กู้เงินมาชดเชย 36,021 ล้านบาท เงินสดคงคลังก็จะเหลือ 203,477 ล้านบาท เข้าใจรึยังครับ เงินสดคงคลังเพิ่มขึ้นมาได้อย่างไร
นี้คือการบริหารงานของรัฐบาลนี้ ใช้วิธีกู้เงินคงคลังในอนาคต เพื่อมาเติมเงินคงคลังในปัจจุบัน ให้ตัวเลขออกมาดูดีเสมอ ถ้าลองค้นหาการแถลงฐานะการคลังย้อนหลังดู จะเห็นว่า ผมไม่ได้พูดเกินจริง ลองหาดูนะครับ หาย้อนไปถึงยุคนายกทักษิณได้ด้วยยิ่งดีครับ จะได้มาลองเปรียบกัน
แต่เนื่องด้วย ผมไม่ใช่คนที่เอียงกะเท่เร่ทางการเมือง ก็คงต้องบอกให้ทุกท่านทราบว่า ไม่ว่ายุคไหนสมัยใด ก็ล้วนทำด้วยกันทั้งนั้น ในการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลเงินสด ยุคทักษิณก็ทำ ยุคสมชายก็ใช้ ยุคสมัครก็เคยเห็น เพียงแต่รัฐบาลชุดนี้ใช้บ่อยและมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง (จริงไม่จริงลองสืบค้นดูก็จะรู้ครับ)
ส่วนเรื่องเงินเฟ้อ ผมไม่เห็นต่าง แต่ก็รู้ว่าเป็นเพราะการคงนโยบายเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) มาใช้เป็นกรอบดำเนินนโยบายการเงิน เป้าหมายอีกแล้ว...!! ผมคงไม่ต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำ 2 รอบนะครับ
หนี้สาธารณะ ผมจะไม่อภิปรายว่าดีขึ้นหรือแย่ลง แต่จะอภิปรายว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร หนี้สาธารณะเกิดจากการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล ทำให้จำเป็นต้องกู้หรือระดมทุนเพื่อนำมาใช้ดำเนินนโยบายต่างๆ (ซึ่งรัฐบาลนี้ก็จัดเป็นนักกู้มือเติบด้วย) ทั้งรายจ่ายประจำของหน่วยงานราชการ และงบสำหรับดำเนินโครงการต่างๆของรัฐบาล พูดง่ายๆก็คือ ตราบใดที่เรายังจัดทำงบแบบขาดดุล ยอดหนี้สาธารณะจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เท่าที่ผมเห็นมา มีรัฐบาลเดียว ที่ผมคิดว่าเก่งที่สุดในเรื่องนี้ คือปี 2549 รัฐบาลนายกทักษิณ ได้จัดทำนโยบายแบบสมดุล คือไม่ได้เพิ่มยอดหนี้สาธารณะ แต่ขนาดผมเห็นว่ารัฐบาลนายกทักษิณเก่งที่สุด ก็ยังทำได้แค่ จัดทำงบประมาณแบบสมดุลเท่านั้น ดังนั้นแล้ว ผมจึงไม่ได้ดีอกดีใจเหมือนคุณโพ้นฟ้า เมื่อเห็นตัวเลขยอดหนี้สาธาณะ เพราะ 2 ปีงบประมาณของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ จัดทำงบประมาณขาดดุล มาตลอด
ส่วนการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันต่างชาตินั้น ผมบอกตรงๆว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆเลย เพราะต่อให้ต่างชาติบอกว่า ประเทศ You ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แต่ในกระเป๋าผมสตางค์มันก็มีเท่าเดิม หรือน้อยลง ผมจะไปเชื่อมันทำไม
สุดท้ายก่อนจบ และขอจบแบบมิตรภาพนะครับ ผมชอบจริงๆกับประโยคจบของคุณโพ้นฟ้า ที่ว่า
เป็นไงคะ ถึงขนาดนี้แล้วคนไทย ยังสมควรบ่นว่ารัฐบาลว่าไร้ความสามารถทั้งการหารายได้และการดูแลเศรษฐกิจอีกหรือคะ?
แต่สำหรับ จขกท. โอเคนะ
So far so good
บอกตรงครับ ว่าชอบจริงๆ ครับ ได้อ่านแล้วผมถึงกับยิ้มกริ่มหน้าจอคอมอยู่คนเดียว ผมจึงขออนุญาตลอกเลียนนำมาใช้บ้างนะครับ
เป็นไงครับ ถึงขนาดนี้แล้วคนไทย ยังจะเชื่ออีกเหรอว่ารัฐบาลมีความสามารถทั้งการหารายได้และการดูแลเศรษฐกิจอีกหรือครับ?
แต่สำหรับ จขกท. โนเวย์นะ
Are you know ? (วรรคจบนี้ ขำๆนะครับ...ยิ้ม)
ปล.ที่ผมแตกประเด็นมานี้ ไม่ใช่ว่าต้องการหาว่าใครถูกใครผิด ไม่ได้เอาข้อมูลมาหักล้างข้อมูล แต่ที่ต้องอภิปรายก็เพื่อให้รู้ทำไมผมถึงเห็นต่างออกไป ทำไมจึงเชื่อแบบนั้น ผมเชื่อ..เพราะไม่ได้หลงเชื่อคำใคร ที่เชื่อเพราะผมรู้จักคิด และหาข้อมูลมาสรุปเรื่องราวที่มีใครเค้าบอกอีกที ต้องขอขอบคุณ คุณโพ้นฟ้ามากครับ ที่ทำให้มีโอกาสให้ผมได้ชี้แจง ถึงเหตุผลที่ผมเชื่อ
และถึงผมจะชื่นชอบนายกทักษิณ แต่ผมก็ไม่ได้เห็นว่าท่านจะกระทำการทุกเรื่องถูกต้องหรอกนะครับ เพราะผมก็หาข้อมูลเปรียบเทียบในระหว่างที่นายกทักษิณทำหน้าที่อยู่ และก็ได้รู้อะไรเยอะแยะเหมือนกัน
แต่วันนี้ที่ผมสนับสนุนขั้วอำนาจด้านเดียวกับทางฝ่ายเสื้อแดง ก็เพราะผมเห็นว่าด้านนี้คืออำนาจที่ได้มาจากการตัดสินของประชาชน ส่วนของประชาธิปัตย์ ถ้าไม่มีกลุ่มทหารมาแทรกแซงหรือเล่นการเมืองตามกติกาที่มีความเป็นธรรม บอกตรงๆครับ ว่าผมแม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็เพียงพอที่ผมจะยอมรับได้ครับ เพราะนั่นคือระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องที่ควรเป็น
และก็ยินดีครับ ที่จะได้รับฟังความเห็นของคุณ thyrocyte ในเรื่องเศรษฐกิจ ผมจะรอติดตามนะครับ ส่วนผมก็จะขอลองอภิปรายในเรื่องเชิงกฏหมายดูบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดกันนะครับและขอบคุณสำหรับการชี้แจงเรื่องที่ผมได้สอบถามทางหลังไมค์ครับ
ขอบอกให้ทุกคนทราบสักนิดนะครับ ว่าผมได้มีโอกาส แลกเปลี่ยนความคิดกับคุณ thyrocyte ทางหลังไมค์หลายครั้ง และยอมรับเหตุผลที่คุณ thyrocyte นำมาอภิปรายในหลายเรื่อง และคุณ thyrocyte เองก็ได้ให้คำชื่นชมในการอภิปรายของผมหลายครั้งอยู่เหมือนกัน นั่นแสดงว่า แม้ในความจริง ผมกับคุณ thyrocyte อาจจะเห็นต่างกันทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้แปลว่า คนที่เห็นต่างกันทางการเมืองสองคน จำเป็นจะต้องยึดมั่นยึดติดในความคิดตนเอง จนไม่ยอมรับฟังความเห็นคนอื่น
.................ขอบคุณครับ
กิ๊ฟไม่มี ไม่เป็นไร ทักทายหลังไมค์ได้ครับ ผมจะได้รู้ว่าหลายๆท่านที่ได้อ่านคิดเห็นเช่นไร
(แต่ขอสุภาพนะครับ เพราะชายรองทนรับความก้าวร้าวไม่ได้ อิอิ...)
แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 53 12:28:48
แก้ไขเมื่อ 24 ธ.ค. 53 10:13:41