บทวิเคราะห์
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๕/๒๕๕๓ กรณีศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยที่ ๑๕/๒๕๕๓ เรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และต่อมาได้มีการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลางและความเห็นส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์คณะเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ คณาจารย์คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร (www.enlightened-jurists.com) ได้ศึกษาคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเพื่อประโยชน์ในทางวิชาการและประโยชน์สำหรับการตรวจสอบกระบวนการทำงานตลอดจนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สมควรจะได้แสดงทัศนะทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
(เนื่องจาก ข้อ 1 - 12 เป็นการเท้าความเกี่ยวกับความเป็นมาของคดี มีความยาวมาก จนไม่สามารถจะใส่ลงในกระทู้ได้หมด ซึ่งถ้าเป็นบอร์ดแบบห้องอื่นก็จะสามารถแบ่งโพสทีละข้อได้ แต่ห้องนี้ทำไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตัดทิ้ง หากสนใจอ่าน ก็สามารถติดตามได้ในลิงค์ตอนท้ายครับ)
....
๑๓. คณาจารย์คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ได้พิเคราะห์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวแล้ว เห็นว่าประเด็นหลักที่เป็นปัญหาในคำวินิจฉัยนี้ก็คือ คำวินิจฉัยนี้ได้เกิดขึ้นโดยเสียงข้างมากของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์คณะหรือไม่ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้วจะเห็นได้ว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเขียนคำวินิจฉัยว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก ๔ ต่อ ๒ ว่า กระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่เหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากแตกต่างกัน คือ มีตุลาการเพียง ๑ คน ที่เห็นว่าการยื่นคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นการยื่นคำร้องพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนตุลาการอีก ๓ คน เห็นว่าการยื่นคำร้องไม่ได้กระทำการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ มีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ทั้งๆที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่ได้มีความเห็นและยังมิได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่อย่างใด
เหตุผลที่แตกต่างกันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ เป็นเหตุผลที่แตกต่างกันในแง่ประเด็นของการยกคำร้อง ปัญหาก็คือ ในแง่ของการดำเนินกระบวนพิจารณาและการวินิจฉัยชี้ขาดคดีรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญสามารถตั้งประเด็นและวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวได้หรือไม่
๑๔. ในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญนั้น การวินิจฉัยเงื่อนไขที่ทำให้ศาลมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา กับการวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี จะต้องวินิจฉัยแยกต่างหากจากกัน เงื่อนไขที่ทำให้ศาลมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา ย่อมได้แก่ เขตอำนาจของศาลเหนือคดี อำนาจฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ร้อง ความสามารถของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ร้อง ความสามารถในการดำเนินกระบวนพิจารณา วัตถุแห่งคดี กระบวนการขั้นตอนที่ต้องดำเนินการก่อนการฟ้องคดี ความจำเป็นในการปกป้องคุ้มครองสิทธิ ระยะเวลาในการฟ้องคดี ฯลฯ เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องดำเนินการตรวจสอบเสียก่อน หากเงื่อนไขเหล่านี้ดำรงอยู่ครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะสามารถวินิจฉัยเนื้อหาของคดีได้
ในกรณีที่มีประเด็นโต้แย้งกันว่าเงื่อนไขเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างครบถ้วนหรือไม่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่โต้แย้งกันนั้นทีละประเด็น เช่น หากโต้แย้งกันว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้เสียก่อน โดยตุลาการทุกคนที่เป็นองค์คณะจะต้องออกเสียงวินิจฉัย หากผ่านประเด็นนี้ไปแล้ว มีข้อโต้แย้งกันอีกว่า คำร้องดังกล่าวได้ยื่นภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ตุลาการทุกคนก็จะต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้เช่นกัน
การกำหนดประเด็นวินิจฉัยชี้ขาดเช่นนี้ จะทำให้ในที่สุดแล้วคำวินิจฉัยเกิดจากเสียงข้างมากขององค์คณะ และจะปรากฏเหตุผลในคำวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าคดีนั้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเหตุผลในทางกฎหมายเรื่องใด หากไม่กำหนดประเด็นวินิจฉัยเช่นนี้ แต่กำหนดประเด็นรวมๆกันไป สุดท้าย ย่อมจะหาเสียงข้างมากขององค์คณะไม่ได้
เช่น หากมีตุลาการในองค์คณะ ๖ คน ตุลาการสองคนอาจยกคำร้องเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาล ตุลาการอีกสองคนเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจ แต่ยกคำร้องเพราะเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง ตุลาการอีกสองคนเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน แต่ยกคำร้องเพราะเห็นว่าฟ้องเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่นนี้จะถือว่าเหตุผลที่ยกคำร้องคืออะไร เพราะการยกคำร้องโดยอาศัยเหตุใดเหตุหนึ่งนั้น จะมีผลต่อการนำคดีมาฟ้องใหม่ไม่เหมือนกัน
๑๕. ในคดีนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องเพราะเหตุที่การยื่นคำร้องกระทำการข้ามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดทำให้นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง มี ๓ คน จากตุลาการที่เป็นองค์คณะจำนวน ๖ คน ซึ่งยังถือไม่ได้ว่าเป็นเสียงข้างมากขององค์คณะ
ในขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องเพราะเห็นว่าการยื่นคำร้องได้กระทำเมื่อพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไปแล้วมีเพียง ๑ คน จากตุลาการที่เป็นองค์คณะจำนวน ๖ คน ซึ่งก็จะถือว่าเป็นเสียงข้างมากขององค์คณะไม่ได้เช่นกัน
การลงมติเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดประเด็นเสียก่อนว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ และตุลาการทุกคนต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ ในกรณีที่ลงมติไปแล้วยังหาเสียงข้างมากไม่ได้ จะต้องลงมติใหม่อีก
และหากจำเป็นก็จะต้องกำหนดประเด็นย่อยลงไปอีก และให้ตุลาการที่เป็นองค์คณะวินิจฉัยทีละประเด็นในลักษณะที่ตุลาการที่มีสิทธิออกเสียงวินิจฉัย หากได้วินิจฉัยอย่างใดไปแล้วในประเด็นก่อนในฝ่ายข้างน้อย ตุลาการผู้นั้นจะต้องรับเอาผลของการวินิจฉัยในประเด็นถัดไปและต้องออกเสียงวินิจฉัยด้วย เพื่อจะได้ผลการวินิจฉัยที่เกิดจากเสียงข้างมาก เมื่อผ่านประเด็นเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะสามารถวินิจฉัยในประเด็นเรื่องของระยะเวลาในการยื่นคำร้องเป็นลำดับถัดไป
มีข้อสังเกตว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดประเด็นวินิจฉัยในลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น และเขียนเหตุผลในคำวินิจฉัยทั้งสองกรณีลงในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ย่อมทำให้เกิดความสับสนต่อไปว่าตกลงแล้ว เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการยกคำร้องคือเหตุผลใดกันแน่
ยิ่งไปกว่านั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังขัดแย้งกันเองในบางส่วนอีกด้วย คือ ฝ่ายที่ถูกนับว่าเป็นฝ่ายข้างมาก ๓ คน เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน จึงจะเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบได้ ในขณะที่ฝ่ายที่ถูกนับว่าเป็นฝ่ายข้างมาก ๑ คน เห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะเสนอความเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเหตุตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง (ซึ่งเป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมือง) ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือไม่ก็ได้
ด้วยเหตุที่ได้แสดงให้เห็นดังกล่าวนี้ คณาจารย์คณะนิติราษฎร์จึงเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเสียงข้างมากขององค์คณะ ไม่ชอบด้วยหลักการทำคำวินิจฉัยในทางตุลาการ และเกิดปัญหาขึ้นตามมาว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลในทางกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
๑๖. อนึ่ง มีประเด็นที่สมควรแสดงทัศนะไปในคราวเดียวกันเกี่ยวกับการตีความ กระบวนการและขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญ ของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าสอดคล้องกับหลักการใช้และการตีความกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชนหรือไม่
คดีนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกนับว่าเป็นฝ่ายข้างมาก ๓ คน เห็นว่า การที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ได้มีมติเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่ใช่เป็นการให้ความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่เป็นความเห็นในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง จึงถือว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คณาจารย์คณะนิติราษฎร์พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ในที่สุดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งก็เท่ากับนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นโดยปริยายว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำการอันต้องด้วยเหตุที่กฎหมายกำหนด สมควรถูกยุบพรรค
ถึงแม้เรื่องนี้อาจมีข้อทักท้วงว่าในการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้ให้ความเห็นไว้จนเป็นที่ประจักษ์ชัดก็ตาม แต่การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการในเวลาต่อมาก็มีผลเป็นการเยียวยาความบกพร่องอันไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญไปแล้ว
กรณีเทียบเคียงได้กับบทบัญญัติในมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่หากเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองซึ่งจะออกคำสั่งทางปกครองได้ จะต้องให้เจ้าหน้าที่อื่นให้ความเห็นชอบก่อน ได้ออกคำสั่งทางปกครองไปโดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่อื่นเสียก่อน หากเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจให้ความเห็นชอบนั้น ได้ให้ความเห็นชอบในภายหลัง คำสั่งทางปกครองนั้นก็ย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย หาได้เสียเปล่าไป หรือมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายไม่
การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแยกกระบวนการและขั้นตอนดังกล่าวออกจากกันเป็นส่วนๆ อีกทั้งขั้นตอนดังกล่าวนั้นในเวลาต่อมาก็ถูกเยียวยาแล้วโดยการกระทำขององค์กรผู้ทรงอำนาจ และแยกการกระทำของนายทะเบียนพรรคการเมืองกับการกระทำของประธานกรรมการการเลือกตั้งออกจากกันอย่างสิ้นเชิง โดยมิได้พิเคราะห์เจตนาที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอำนาจในเรื่องดังกล่าว คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ มาเป็นเหตุวินิจฉัยยกคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมืองนั้น คณาจารย์คณะนิติราษฎร์ไม่อาจเห็นพ้องด้วยได้
๑๗. โดยที่คดีนี้มีปัญหาในแง่ของการทำคำวินิจฉัยว่าเกิดจากเสียงข้างมากขององค์คณะหรือไม่ และปัญหาในแง่ของเหตุผลในทางข้อกฎหมายที่ใช้ในการยกคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมือง คณาจารย์คณะนิติราษฎร์เห็นว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ สมควรจะต้องกระทำเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อไป การดำเนินการในเรื่องนี้ย่อมรวมถึงการตรวจสอบกฎเกณฑ์ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบการรักษากฎเกณฑ์ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน ไปจนกระทั่งถึงการตรวจสอบว่าคำวินิจฉัยในคดีนี้ซึ่งมีปัญหาว่าไม่ได้เกิดจากเสียงข้างมากขององค์คณะมีผลในทางกฎหมายหรือไม่
อนึ่ง ในทางปฏิบัติ โดยเหตุที่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาของคดี แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๖ วรรคห้าจะบัญญัติว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ ก็ตาม
แต่เมื่อเหตุผลในคำวินิจฉัยบางส่วนขัดแย้งกันเอง โดยเหตุผลของตุลาการฝ่ายที่ถูกนับเป็นเสียงข้างมาก ๓ คน เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่นายทะเบียนพรรคการเมืองจะได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวเสียให้ชัดเจน เพื่อนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาให้วินิจฉัยในเนื้อหาของคดีต่อไป
วรเจตน์ ภาคีรัตน์
จันทจิรา เอี่ยมมยุรา
ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
ธีระ สุธีวรางกูร
สาวตรี สุขศรี
ปิยบุตร แสงกนกกุล
คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
ท่าพระจันทร์, ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓.
http://www.enlightened-jurists.com/page/177/Analyse-about-Constitutional-Court-and-Democrat-Party.html