ต้องขอบคุณ แฟนพันธ์แท้สามก๊ก เป็นอย่างยิ่ง (แฟนพันธ์แท้จริง ๆ นะที่ออกรายการคุณปัญญาน่ะแหล่ะ) ที่ได้จุดประกายให้ผมได้เขียนอะไรบางอย่างออกมา แม้สิ่งที่ผมเขียนนี้อาจไม่ได้แพร่หลายในวงกว้างแต่มันก็เป็นหนึ่งบทบันทึกที่ทำให้เห็นว่าโลกนี้เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดจริง ๆ คุณแฟนพันธ์แท้สามก๊กได้พูดถึงเรื่องของ ดับเบิ้ลสแตนดาร์ดในโลกของสามก๊กไว้ได้อย่างชัดเจน ดี แต่ผมก็เห็นยังมีอีกมุมเหมือนกันที่ควรเอาพูดถึงกรณีสองมาตรฐานในโลกของสามก๊ก
เรื่องมันเป็นเช่นนี้ครับท่านสารวัตร...
เมื่อครั้งจบศึกเซ็กเพ็ก โจโฉ พ่ายแพ้ก็ถึงคราที่ เล่าปี่ จะตั้งตัว เขาได้ยกกองทัพตามแผนของขงเบ้งและเริ่มขยายอิทธิพลอำนาจตีกินเมืองต่าง ๆ ไว้ในครอบครองและเมื่อถึงเมืองเตียงสา (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด) กวนอูก็ได้ทำหน้าที่เข้าตีเมืองนี้ซึ่งมีเจ้าเมืองชื่อ ฮันเหียน (ถ้าผมจำไม่ผิด) ในเมืองนี้ถ้าลำพังแต่เจ้าเมืองก็ไม่มีความน่ากลัวอันใดหรอกครับ ระดับกวนอูจะยึดคงต้องพูดว่า "ง่ายดังลัดนิ้วมือ" (ใครรู้ว่า ลัดนิ้วมือ ทำอย่างไร ช่วยส่งจดหมายน้อยบอกผมที) แต่เสียดายที่เมืองนี้มีขุนศึกคนหนึ่งชื่อว่า ฮองตง มันเลยตียาก ผมจะไม่ขอเล่าถึงเนื้อหาของการต่อสู้ระหว่างสองพยัคฆ์ไว้ในที่นี้ เพราะมันไม่ใช่เรื่อง... แต่จะตัดถึงตอนที่เมื่อขุนพลฮองตงไม่สามารถฆ่ากวนอูได้ด้วยธนู ฮันเหียนผู้มีใจหยาบช้าได้สั่งทำโทษขุนพลฮองตง ซึ่งขุนพลคนนี้เป็นที่รักของเหล่าขุนศึกทั้งหลายในนครา อุยเอี๊ยน หนึ่งในขุนพลประจำเมืองเห็นเจ้าเมืองบ้าอำนาจไร้เหตุผลเช่นนี้เลยทนไม่ได้จึงนัดแนะกับเพื่อนขุนศึกอีกหลายคนให้กระทำการชิงเมืองเสีย โดยลงมือฆ่า ฮันเหียน และเปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพของกวนอู
ความนี้ได้ไปถึงหูเล่าปี่แลขงเบ้ง สองเจ้านายใหญ่แห่งจ๊กได้ข่าวก็ยินดีปรีดาถลกผ้าถุงขึ้นม้าเดินทางมาแสดงความยินดีและรับตราตั้งเจ้าเมือง การปูนบำเหน็จก็เกิดขึ้นขุนทัพนายกองที่ทรยศ ฮันเหียน เปิดประตูเมือง เตียงสา ต่างได้ดีกันถ้วนหน้าแต่พอหางตาของ ขงเบ้ง ชายมาถึงตัว อุยเอี๊ยน บรรยากาศความยินดีที่อวลอยู่ก็เปลี่ยนไป ทันทีที่เห็นหนังหน้า ขงเบ้ง ก็ว้ากเพ้ยแล้วสั่งจับ อุยเอี๊ยน ไปตัดหัว... กวนอู รีบทัดทานและบอกว่า อุยเอี๊ยน นั้นมีคุณูปการนะเพราะมีเจ้านี่แหล่ะเราถึงตีเมือง เตียงสา ได้ ขงเบ้ง สะบัดหน้าทำอาการงอนเล็กน้อยแต่พองามเชิดหน้าสามสิบองศาไปทางทิศตะวันออกและพูดเสียงเข้มว่า "เจ้ามันกบฏ ต่อไปทำการณ์กับนายเราอย่าได้ทำเยี่ยงนี้อีก"
เรื่องก็จบลงเช่นนี้ครับท่านสารวัตร...
คือถ้าผมเป็น อุยเอี๊ยน ในเวลานั้นผมคงอยากขิงกระโหลก ขงเบ้ง สักสองทีแล้วถามว่า "ทำไมข้าโดนต่อว่าคนเดียว" เพราะการเปิดประตูเมืองกบฏเตียงสานั้นไม่ใช่ อุยเอี๊ยน ทำคนเดียว เขามีคนร่วมมือด้วยแต่ทำไมถึงถูกตราหน้าและได้รับความเกลียดชังเพียงคนเดียว ในขณะที่ขุนศึกคนอื่นที่ร่วมกบฏได้รับปูนบำเหน็จแต่เหตุใด อุยเอี๊ยน ไม่ได้อะไรแถมยังโดนด่าว่า... แบบนี้เรียกว่า สองมาตรฐานหรือไม่ ต่อมาเราจึงได้รู้ว่า ขงเบ้ง ชิงชังนายคนนี้เพราะไม่ชอบลักษณะหน้าตาซึ่ง ขงเบ้ง อ้างกับคนข้างตัวว่า อุยเอี๊ยน มีโหงวเฮ้งกบฏจึงมิวางใจ แต่ถ้าเราได้ดูและอ่านสามก๊กมาบ้างจะเห็นว่า อุยเอี๊ยน ก็จัดว่าเป็นขุนศึกที่ดีคนหนึ่งมีสติปัญญามีฝีมือถึงขั้นที่เรียกได้ว่า ทหารเสือแห่งยุค หนำซ้ำนิสัยยังเอาการเอางาน แต่เหตุใด ขงเบ้ง ถึงปฏิบัติอย่างกับเขาไม่ใช่คน ขงเบ้ง เลือกที่รักมักที่ชัง อุยเอี๊ยน แม้ไม่ถูกแกล้งแต่ก็เหมือนถูกแกล้ง ถูกทำให้น้อยเนื้อต่ำใจต่าง ๆ นานา เขารบกันแทบเป็นตาย ขงเบ้ง ก็สั่งให้ อุยเอี๊ยน ได้แต่ไปตะโกนด่า ไม่ได้ให้เขารบสมหน้าที่ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่แปลกใจถ้าคน ๆ นี้จะเป็นกบฏอย่างที่ ขงเบ้ง ทำนายไว้ เพราะ อุยเอี๊ยน ถูกกระทำตลอดมาเปิดอ่านกี่หน้าหรือดูกี่แผ่น อุยเอี๊ยน ก็ถูก ขงเบ้ง กลั่นแกล้ง
เพียงเพราะไม่ชอบหน้ากันแค่นี้ล่ะเหรอ... เพียงเพราะลักษณะอุยเอี๊ยนไม่ดีเท่านั้นน่ะเหรอจึงเป็นเหตุให้ขงเบ้งตัดสินว่าการกระทำของอุยเอี๊ยนทุกสิ่งอย่างล้วนผิดและเป็นการกระทำที่น่าเกลียดชัง
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศจีนเมื่อเป็นพันปีก่อน แต่เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นที่ประเทศไทย เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ และคนทุกคนที่เป็นเสื้อแดง สรุปง่าย ๆ ว่า ไม่ต้องนับรวมหรือพูดถึงการกระทำหรือมองไปถึงกรรมดีกรรมชั่วอันใดทั้งสิ้น แต่ในสังคมไทยคนที่มีอำนาจมืดสูงสุดนั้นไม่ชอบหน้าทักษิณและผองชนคนเสื้อแดง ดังนั้นไม่ว่าทักษิณและคนเสื้อแดงจะทำอะไร ล้วนแล้วแต่ผิดหมด แต่คนที่ข้าชอบหน้าไม่ว่าทำอะไร เหลวแหลกแค่ไหนล้วนเลอเลิศประเสริฐศรี
เขียนเพื่อบันทึกและเทียบเคียง
และขอต่อประเด็นของ คุณ BOMPS ที่เขียนถึงผมไว้ในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P9976833/P9976833.html ผมอ่านแล้วครับและจัดได้ว่าเป็นข้อความส่วนตัวในระดับหนึ่ง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดผมคิดว่าคุณ BOMPS เขียนให้ผมอ่าน แต่ผมต้องเรียนอย่างนี้ครับเรียนอย่างกง ๆ ผมอ่านข้อความของท่านแล้วรู้สึกเหมือนว่าผมกำลังถอดโค้ดลับรหัสสยองอะไรบางอย่าง ผมยิ่งอ่านยิ่งงงยิ่งแปลยิ่งเบลอ ต้องขออภัยที่ผมไม่สามารถตอบหรืออภิปรายกับคุณได้ทุกประเด็น เพราะข้อความของคุณผมอ่านแล้วมั่นใจว่าถอดรหัสได้มีเพียงช่วงเดียว อย่าถือสานะครับที่ผมเรียนคุณกง ๆ เช่นนี้
เรื่องที่คุณ BOMPS สื่อสารมาและผมอภิปรายต่อได้เห็นจะเป็นประเด็นเรื่อง จักรพรรดิ์องค์สุดท้าย ปูยี (แต่ถ้าอ่านให้ถูกต้องจริง ๆ ต้องอ่านว่า ผู่อี๋) ซึ่งคุณ BOMPS ได้เปรียบว่าคล้ายคลึงกับ อภิสิทธ์ พร้อมทิ้งคำถามบางประการให้ผมตอบ
ผมตอบจากความทรงจำไม่ใช้สลิงสตันท์อันใด ปูยีครองราชย์น่าจะตอน 3 ขวบ ถ้าไม่ใช่ก็ 5 ขวบ ถ้าไม่ใช่อีกก็ 7 ขวบ ไม่เกินนี้ (ตอบแบบเหวี่ยงแหมาก) พูดถึงตรงนี้แล้วต้องเรียนว่าคุณ BOMPS เปรียบได้ตรงทีเดียว ดังนั้นผมจึงขอร่ายต่อ อย่าเพ่อ... รำคาญกัน
จิบน้ำชาสักนิดแล้วฟังผู้น้อยเล่านิทาน
ผู่อี๋่จริง ๆ แล้วไม่ควรได้เป็นฮ่องเต้เลยเพราะถ้าเรากางผังราชสกุล ไอซินเจียหรอ ออกมาก็จะเห็นว่าในช่วงนั้นมีองค์ชายเหลืออยู่อีกพระองค์และหลายคนก็มีคุณสมบัติมากกว่า ปูยี แต่ที่ ซูสีไทเฮา จับ ปูยี ขึ้นมาเพราะหวังว่าจะชักใยได้อย่างง่ายดายเหมือนดั่งตอนที่ชักใยลูกของตัวเอง เพราะเด็กขนาดนี้ไม่สามารถบริหารงานราชการได้ต้องมีผู้สำเร็จและมีผู้กุมอำนาจแทน แต่พระนางซูสีไทเฮาซวยครับ เพราะวางแผนจะใช้เจ้าเด็กคนนี้แต่ไม่ทันได้ใช้งานก็ชิงตายไปก่อน (เสียดายจังที่ประเทศเราไม่เหมือนเขาในตอนนี้) แต่ ปูยี ก็ยังซวยอยู่ดีเพราะแม้ไม่มี ซูสี แต่คนอื่นก็มาช่วยกันชักใย แถมในตอนนั้น หยวนซือไข ก็แข็งเมืองประกาศตัวเองเป็นฮ่องเต้ซ้อนแต่มีอำนาจมากกว่าฮ่องเต้จริง
ดังนั้นมันก็เหมือนกับว่า ปูยี อาจไม่มีบทบาทอะไรเลยในทางประวัติศาสตร์ เพราะตลอดชีวิตของเขานั้นไม่สามารถจะมีอำนาจอะไรเลย เขาเป็นฮ่องเต้เพียงแค่ในวังต้องห้าม
แต่เรื่องราวมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นถ้าเราจะพูดในเชิงเปรียบเทียบกับอภิสิทธ์ เพราะแม้ปูยีจะไม่มีอำนาจเขาเกิดมาเพื่อเป็นหุ่นกระบอกให้คนชักใยแต่หลาย ๆ ครั้งความบ้าอยากมีอำนาจก็ทำเรื่องเลวร้ายหลาย ๆ เรื่องให้เกิดขึ้นมา โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วงที่ญีปุ่นจะยึดครองประเทศจีนโดยใช้แผนสถาปนา แมนจูกัว ขึ้นมา ด้วยความที่ปูยีบ้าอยากมีอำนาจโดยไม่เจียมกะลาหัวของตนก็ได้ตอบตกลงทางรัฐบาลญีปุ่นเพื่อไปเป็นฮ่องเต้แห่งแมนจูกัวโดยหารู้ไม่ว่านั่นคือการเปิดประตูให้ญี่ปุ่นบุกรุกประเทศชาติอันเป็นบ้านเกิดของตน ญี่ปุ่นสามารถรบกับทุกประเทศที่เขาอยากรบได้ครับ... แต่การหาชอบธรรมให้ได้มากที่สุดเป็นเรื่องยาก ปูยีก็คือเงื่อนไขหนึ่งที่ญี่ปุ่นพยายามจะอ้างความชอบธรรมให้กับการเป็นผู้รุกรานของตนเอง
นานกิงถูกปิดเมืองฆ่าอย่างทารุณ กองทัพญี่ปุ่นรุกผ่านไปที่ไหนก็มีแต่กลิ่นคาวเลือดโดยที่ปูยีใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในคฤหาสน์ที่ตนเองวาดไว้ว่าเป็น พระราชวัง และนอนฝันค้างว่าจะกลับมามีอำนาจเหนือแผ่นดินที่ตนเคยครอบครอง
ถ้าจะเรียกว่า ช่างเพ้อฝันและโง่เขลาก็ไม่ผิดนัก แล้วการเป็นคนช่างเพ้อฝันและโง่เขลาก็ไม่ผิดอะไรเลยถ้าสองสิ่งนั้นไม่ได้ไปทำร้ายคนอื่น แต่สำหรับปูยีแล้วสองสิ่งที่เขามีกลับกลายเป็นผู้ช่วยในการฆ่าเพื่อนร่วมชาติและอดีตผสกนิกรที่เขาต้องดูแลและมอบความรักความเมตตา
แต่สิ่งที่ต่างกันในเรื่องนี้คือ ปูยีแห่งประเทศไทยที่สถาปนาตัวเองอย่างไม่ตั้งใจด้วยความบ้าอยากมีอำนาจและความโง่เขลาที่มีอยู่เต็มใบหน้าที่หล่อเหลานั้น เขาไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แม้อภิสิทธ์จะเกิดมาเพื่อเป็นหุ่นเชิดแต่เขาไม่ได้เป็นผู้ช่วย เพราะเขาคือผู้เห็นดีเห็นงามกับผู้ที่เชิดเขาไว้และออกคำสั่งฆ่าล้างคนเห็นต่าง แม้วันนี้การแถลงอย่างเป็นทางการที่ออกโดยรัฐบาลจะไม่ได้บอกไปตามสื่อต่าง ๆ ว่า "อภิสิทธ์และคนอื่น ๆ สั่งฆ่าประชาชน" แต่ผมเชื่อครับว่าประชาชนที่ประสพกับเหตุการณ์ "หลั่งเลือดที่ราชประสงค์" นั้นรู้ดีว่า อภิสิทธ์ผู้เป็นหุ่นเชิดเป็นหนึ่งคนที่ออกคำสั่งให้เหตุการณ์ "หลั่งเลือดที่ราชประสงค์" ถูกบันทึกอยู่ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย
เจริญพร