ตอบคุณmasatha
กรุณากลับไปอ่านข้อเขียนของผมให้ละเอียดนะครับ และทบทวนมาตรา93ด้วยครับ ไม่มีตอนไหนเลยที่ผมบอกว่า จะต้องผ่านขั้น1ก่อน จึงมาถึงขั้น2 เพราะตามมาตรา93 ระบุว่า เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง นั่นแสดงว่าต้องครบทั้ง 2 ขั้นตอน ครับ ไม่มีคำใดในตัวบทเลยที่จะให้เอาขั้นใดมาก่อนหรือหลัง การที่ผมแบ่งขั้น เป็นเพียงวิธีการอธิบายเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจกฎหมายได้ง่ายขึ้นเท่านั้นครับ ( ความจริงขั้นที่1 และ2 นี้เป็นทั้งขั้นตอนและเป็นทั้งองค์ประกอบ แต่ผมเลือกที่จะใช้คำว่าขั้นตอน เพราะต้องการกระชับประเด็นหลักให้เข้าใจได้ง่ายครับ การที่คุณอ้างว่า เวลาทำอะไรตามกฎหมาย มันก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน 1-->2--> 3 นั้น เพราะคุณไม่ได้พิจารณามาตรา93ครับ )
กฎหมายส่วนใหญ่ตอนร่างมีการมองด้านต่างๆไว้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และหาทางลดช่องว่างให้มากที่สุดอยู่แล้วครับ หากแต่คนต่างหากที่พยายามตีความหรือหาช่องว่าง เพื่อประโยชน์ของตนเอง ดังนั้นผู้ใช้หรือตีความกฎหมายจึงต้องยึดคุณธรรมนำหน้า ด้วยเหตุนี้ผู้พิพากษาในอดีตจึงได้รับการยกย่องและยอมรับ
พูดตามตรงผมว่ากรณีนี้กกต.ทำดีที่สุดแล้วครับ และยึดหลักที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ สามารถตรวจสอบได้จากหลักฐานรวมทั้งคำให้สัมภาษณ์ของคุณสดศรี ซึ่งเพื่อนๆในนี้ได้นำมาลงแล้ว จึงขอไม่ลงซ้ำ
เพื่อนๆในนี้ส่วนใหญ่ยึดหลักการมากกว่าตัวบุคคลครับ แต่มีบางท่านยึดบุคคลมากกว่า ไม่ว่าบุคคลนั้นจะพูดอย่างไร ก็ถือว่าถูกไปหมด กกต.จึงต้องเสียสละกลายเป็นผู้ผิด เพื่อให้บุคคลนั้นเป็นผู้ถูก ไงครับ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนกกต.ท่านคงจะไม่ยอมครับ
ตอบคุณthyrocyte
ที่คุณว่า ขอบอกว่าไม่มีบทกฎหมายใดห้ามศาลเข้าไปยุ่งหรือให้ข้อวินิจฉัยครับ มีแต่กฎหมายที่ให้อำนาจศาลเข้าไปตรวจวินิจฉัยได้หากเกี่ยวพันกับคดีที่พิจารณาอยู่
ขอเรียนว่า กรณีนี้เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญครับ ไม่มีกฎหมายใดอนุญาตให้เข้าไปตรวจวินิจฉัยได้ หากเกี่ยวพันกับคดีที่พิจารณาอยู่ ตามที่คุณอ้าง เว้นแต่เป็นกรณีที่ข้อขัดแย้งกับองค์กรอิสระอื่น หรือมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยครับ การใช้กฎหมายต้องใช้ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ครับ ไม่ใช่ไม่มีบทกฎหมายห้าม ก็จะมีอำนาจ ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีสิทธิก้าวล่วงไปพิจารณาในเรื่องขั้นตอนการทำงานภายในขององค์กรอิสระอื่นโดยพลการครับ
อย่าลืมว่าโดยฐานะศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรอิสระหนึ่งเหมือนองค์กรอิสระอื่นครับ จึงมีฐานะเท่าเทียมกัน เพียงแต่ทำหน้าที่ต่างกัน กรณีก็เหมือน รัฐบาล สภานิติบัญญัติ และศาล ถามว่า ศาลจะวินิจฉัยว่า มติของสภาข้อใดข้อหนึ่งไม่ถูกต้อง เช่น ประธานสภาทำผิดข้อบังคับการประชุมสภา ได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นดุลยพินิจของประธานสภา กรณีกกต.ก็เช่นกันครับ นายทะเบียนเห็นว่า ความยังไม่ปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง มันเป็นดุลยพินิจของนายทะเบียนครับ
ส่วนที่คุณว่า การวินิจฉัยของศาลนั้นเป็นการพิจารณาและวินิจฉัยการกระทำที่ได้ทำไปแล้วขององค์กรนั้น ไม่ได้เข้าก้าวก่ายสั่งการองค์กรนั้นๆให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมจะไม่ก้าวก่ายครับ ในเมื่อกฎหมายให้เป็นดุลยพินิจของเขา
กรณีกกต. นายอภิชาติมีดุลยพินิจว่าความยังไม่ปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง เนื่องจากมติในที่ประชุมยังมีความเห็นไม่ตรงกัน นายอภิชาติในฐานะนายทะเบียนจึงตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณา จากนั้นจึงให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งมีมติให้ฟ้อง นายอภิชาติในฐานะนายทะเบียนจึงฟ้อง ศาลกลับให้ถือเอามติครั้งแรกเป็นจุดเริ่มนับระยะเวลา ทั้งที่ขณะนั้นนายทะเบียนมีดุลยพินิจว่าความยังไม่ปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ส่งผลให้นายทะเบียนและกกต.เป็นผู้ผิด และอาจต้องรับโทษฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ในกรณีที่ดุลยพินิจของนายทะเบียนกับศาลไม่ตรงกัน เราต้องดูว่ากฎหมายให้ใครเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจครับ มิฉะนั้นองค์กรอิสระอื่นๆจะทำงานใดๆไม่ได้เลย เนื่องจากไม่รู้ว่าในภายหลังศาลจะมีดุลยพินิจอย่างไร ตรงกับที่องค์กรอิสระนั้นๆได้ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจไปแล้วหรือไม่
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 53 10:49:45