เห็นหลายท่านถกกันเรื่องของกฎหมาย ทวดเองได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ
|
 |
คนรากหญ้าอย่างทวดเอง ที่มีภูมิความรู้แค่หางอึ่ง อย่าว่าแต่เรื่องความรู้เรื่องกฎหมายเลยครับ แค่อ่านให้จบแต่ละมาตรา ทวดเองคนนี้ก็งงเป็นไก่ตาแตกแล้วครับ ดังนั้นคงไม่ต้องสงสัยเลยนะครับว่า จะรู้เรื่องหรือไม่? เพียงแต่ว่า ที่ทวดเองสงสัยก็คือ ภาษากฎหมายก็เป็นภาษาไทยทั้งสิ้น ทวดเองไม่เข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะความรู้อันน้อยนิด เพียงแต่ว่า ทำไมนะ คนที่จบจากกฎหมายพวกนี้ ซึ่งบางท่านอาจจะมีอาจารย์คนเดียวกันด้วยซ้ำไป แต่ทำไมจึงยังต้องมีการตีความกันยันเตเลยครับ นี่เป็นเพราะพวกนี้จบมาอย่างไม่รู้เรื่องหรือว่าคนร่างกฎหมายร่างไม่เป็นกันแน่ ใครรู้ช่วยบอกทวดเองทีเถิดครับ
ทวดเองจึงต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพราะผู้ทรงความรู้ทั้งหลายบอกว่า เมื่อการตัดสินจบแล้ว เราต้องเคารพคำตัดสิน ต้องน้อมรับคำตัดสิน ดังนั้นมีหลายต่อหลายคดีที่แม้ทวดเองจะรู้สึกขัดกับความรู้สึก แต่เพราะสำนึกถึงความต่ำต้อย จึงต้องก้มหน้ายอมรับคำตัดสิน ข้อสำคัญ ถ้าเกิดวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความไม่เหมาะสม อาจถูกข้อหาหมิ่นศาลก็ได้ ซึ่งอาจต้องจำคุก 1-7 ปี เชียวนะครับ ไม่แพ้คดีการเซ็นชื่อให้เมียซื้อที่ๆต้องติดคุกถึง 2 ปี ดังนั้นทวดเองจึงได้แต่น้อมรับคำตัดสิน แม้ว่าใจยังมีความสงสัยคาอยู่ในหลายคดี เป็นต้นว่า
การวินิจฉัยการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน เป็นโมฆะ โดยอ้างว่าการจัดคูหาการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ คือไม่เป็นความลับ พวกท่านว่ามาอย่างนั้น ทวดเองก็น้อมรับคำตัดสินแต่โดยดี ทั้งที่ใจก็ยังสับสนอยู่ว่า พวกท่านใช้หลักฐานใดในการตัดสินคดี มีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้วหรือไม่? เพราะทวดเองก็พอรู้มาบ้าง ในหลายประเทศก็ใช้วิธีนี้ในการเลือกตั้งเหมือนกัน และก็เป็นอำนาจของ กกต. ด้วยที่จะจัดการเลือกตั้งในลักษณะนั้น เมื่อทุกฝ่ายเห็นชอบในหลักการ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทวดเองคาใจมาตลอดหลายปีเลยครับ
ต่อมาก็เป็นการยุบพรรคไทยรักไทยอันลือลั่น ที่เป็นการแถลงคำวินิจฉัยที่มาราธอนที่สุดคดีหนึ่ง ถึงแม้ทวดเองจะยอมรับกับการยุบพรรคของการจ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้ง ในขณะที่การจ้างพรรคเล็กไม่ลงเลือกตั้ง กลับไม่ถูกยุบ นั่นก็ยังพอทำเนา เพราะเหตุผลต่างๆที่ทวดเองได้ฟังไปหลับไปหลายตลบ พอตื่นขึ้นมาก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี แต่เมื่อคนชั้นสูงบอกให้น้อมรับคำตัดสิน ทวดเองก็ต้องน้อมด้วย เพียงแต่ยังสงสัยถึงการตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคไปร่วม 111 คนนั้น เป็นการตัดสิทธิ์ย้อนหลัง แบบนั้นจะยุติธรรมหรือไม่? และเมื่อถึงตอนนี้หลายฝ่ายพยายามที่จะแก้กฎหมายเรื่องการตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรค นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทวดเองเห็นว่า การตัดสิทธิ์ครั้งนั้นมีปัญหาจริงๆเสียด้วย หรือว่า กฎหมายมาตรานั้นมีไว้เพื่อคุณทักษิณกับพรรคพวกจริงๆอย่างที่หลายฝ่ายเคยเปรยๆมาเข้าหูทวดเอง?
การถอดถอนนายกฯ ด้วยข้อหาเป็นลูกจ้างสอนทำกับข้าวออกทีวีนั้นก็เป็นอีกคดีที่สร้างความสับสนให้กับทวดเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีการใช้พจนานุกรมร่วมกับคำตัดสินเสียด้วย เพราะตามกฎหมายว่าด้วยลูกจ้างต้องทำประกันสังคม แต่เมื่อความหมายในพจนานุกรมนั้นลูกจ้างหมายถึงการรับค่าตอบแทน ซึ่งก็คงต้องน้อมรับอีกนั่นแหละ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยในเรื่องรับเงินค่าจ้างจากการสอนในมหาวิทยาลัยไม่ใช่ลูกจ้างก็ตาม เพราะไม่ว่าจะเป็นการสอนในมหาวิทยาลัยหรือสอนอาหารออกทีวี ก็เป็นการประสิทธิประสาทความรู้เช่นกัน แต่ทำไมจึงมีการลงโทษเพียงฝ่ายเดียว นี่คือเรื่องที่ทวดเองสงสัยไม่คลายสักที
แล้วก็มาถึงการยุบพรรคอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนั้นถ้าทวดเองจำไม่ผิด รู้สึกยังขาดสอบพยานอีกเป็นร้อยปาก ก็ตัดขั้นตอนเข้าสู่ขบวนการวินิจฉัยคดีทันที ทั้งที่คำวินิจฉัยยังเขียนไม่ค่อยเรียบร้อย ดูจากการอ่านวินิจฉัยในครั้งนั้น ซึ่งมีการอ่านผิดๆถูกๆ ผิดวิสัยของคดีใหญ่ๆอย่างคดียุบพรรคอย่างชัดเจน ผิดกับการยุบพรรคอีกพรรคหนึ่ง ซึ่งถูกยกฟ้องไม่ว่าจะเป็นการยกเรื่องนายทะเบียนลัดขั้นตอนหรือจะเป็นเพราะส่งคำร้องเกิน 15 วันก็ตาม แต่ก็มีการสอบพยานกันมากมาย มีเอกสารกำกับอีกหลายพันหน้า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทวดเองยังงงไม่หาย
ส่วนคำวินิจฉัยที่ออกอากาศกันทั่วประเทศ มีแต่การยกฟ้องเพราะเลยเวลาที่กฎหมายกำหนด สร้างความคลางแคลงสงสัย ไม่เพียงแต่รากหญ้างี่เง่าอย่างทวดเองเท่านั้น แต่รวมถึงนักวิชาการ นักกฎหมายหรือแม้แต่อดีตผู้พิพากษาต่างๆ รวมทั้ง กกต.ที่เป็นทั้งผู้รู้กฎหมายกันทั้งนั้นว่า แล้วทำไมจึงรับฟ้องตั้งแต่ต้น ทำไมจึงปล่อยให้มีการสอบพยานกันเป็นเวลานานหลายเดือน? ทำไมปล่อยให้รัฐบาลต้องเสียเวลาวุ่นวายอยู่กับคดีความนี้ด้วย? ทำไมปล่อยให้รัฐบาลต้องมาพะวงกับคดียุบพรรค จนอาจขาดสมาธิในการบริหารประเทศ ซึ่งนั้นอาจสร้างความเสียหายมากมายเกินกว่าจะประมาณการก็ได้ ถ้าเป็นแบบนี้แล้วใครจะรับผิดชอบในส่วนนี้ล่ะครับ
ยิ่งได้รับคำชี้แจงในวันรุ่งขึ้น ทวดเองยิ่งแปลกใจปนสงสัยมากขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะท่านชี้แจงว่า ความจริงแล้วนั้น คำวินิจฉัยคือ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยกฟ้องในเรื่องเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนอีกสามท่านเป็นเรื่องการข้ามขั้นตอนของนายทะเบียน ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมจึงสรุปล่ะครับว่า เป็นคะแนน 4 ต่อ 2 เสียงในวันที่ออกอากาศ? ทำไมจึงไม่เป็น 3 ต่อ 1 ต่อ 2 เพราะความคิดเห็นต่างกันชัดเจน แล้วในกรณีหนึ่งเสียงที่วินิจฉัยว่า เลยกำหนด 15 วันนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า เห็นต่างจากการวินิจฉัยของอีกสามท่าน คือนายทะเบียนไม่ได้ทำผิดขั้นตอน แล้วทำไมจึงไม่มารวมกับอีกสองท่านที่มีความเห็นว่านายทะเบียนไม่ได้ข้ามขั้นตอนล่ะครับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นคะแนน 3 ต่อ 3 เท่ากัน ดังนั้นทวดเองจึงยังกังขาอยู่ว่า เป็นการด่วนสรุปไปหรือไม่? ใครพอจะอธิบายให้ทวดเองเข้าใจได้หรือเปล่าครับ เพื่อเพิ่มภูมิปัญญาให้กับสมองอันน้อยนิดของทวดเองให้คลายความกังขา
สุดท้ายก็อยากบอกว่า ถ้าตราบใดที่กระบวนการยุติธรรมยังเป็นที่กังขาสงสัยในความเป็นกลาง ตราบนั้นจะให้ประชาชนเชื่อในขบวนการคงจะลำบาก ท่านอาจจะมีกฎหมายห้ามให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ ท่านอาจให้คนยอมรับในคำตัดสินได้ ท่านอาจจะไม่ให้คนพูดได้ แต่ท่านไม่อาจห้ามคนให้คิดได้หรอกครับ ดังนั้นทวดเองจึงเห็นด้วยกับเหล่านักวิชาการทั้งหลายที่เสนอให้แก้กฎหมายหมิ่นศาล ให้คงกฎหมายหมิ่นแค่เฉพาะบริเวณศาลเท่านั้น ส่วนนอกพื้นที่ให้ยกเลิกไป เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบฝ่ายตุลาการได้ เช่นเดียวกับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เพื่อให้ผู้พิพากษาทั้งหลายจะได้ตะหนักถึงการตรวจสอบของประชาชน จะได้ทำหน้าที่ด้วยความรอบคอบในการพิจารณาคดี แล้วประชาชนจะได้เกิดความมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม เมื่อนั้นแหละครับ เราจึงจะคุยกันได้ถึงขบวนการปรองดอง ความสามัคคี และการปฏิรูปประเทศกันต่อไปได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเสียที
จากคุณ |
:
ทวดเอง
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ธ.ค. 53 09:01:44
A:183.89.110.96 X:
|
|
|
|