Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สื่อเลว ล้างสมอง ติดต่อทีมงาน

     สวัสดีปีใหม่ครับเพื่อนๆสมาชิกทุกๆท่าน หวังว่าคำทักทายนี้คงไม่ช้าเกินไปสำหรับ ปีพ.ศ ใหม่ 2554 นี้นะครับ เนื่องด้วยห่างหายจากสังคมแลกเปลี่ยนความคิดในราชดำเนินแห่งนี้ ไปเสียหลายวัน เพราะได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปฉลองเทศกาลปีใหม่

     ความสุขใจที่ได้กลับบ้านเกิดไปพบกับญาติสนิทมิตรสหายที่ห่างเหินกันไปนาน จากภาระหน้าที่การงาน เป็นความสุขที่แสนจะอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมเชื่อว่า อีกหลายๆคนคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผม และเชื่อว่า หากทุกคนเลือกได้ ก็คงเลือกที่ให้มีบรรยากาศความสุขเช่นนี้ตลอดไป ได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอน ทำงานและใช้ชีวิตที่นั้น ไม่ต้องร่อนเร่มาทำงานต่างบ้านต่างเมือง

     มีญาติๆเพื่อนๆผมหลายคนที่มีชะตากรรมคล้ายคลึงกับผม คือต้องทิ้งบ้านเกิดมาทำงานในกรุงเทพ แต่นั้นก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ปิดกั้นความสัมพันธ์ เพราะทุกครั้งที่เรามีโอกาสได้พบปะเจอหน้ากันตามช่วงเทศกาลวัหยุด ความรักความห่วงใยที่มีให้กัน ก็ยังคงเหมือนเดิมก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงานตามวิถีชีวิตของแต่ล่ะคน

     การกลับบ้านไปครั้งนี้ ก็เหมือนเช่นทุกครั้ง คือไถ่ถามสาระทุกข์สุขดิบของแต่ล่ะฝ่าย ที่ห่างหายกันไป พวกผมพูดคุยกันทุกเรื่องที่อยากจะคุย ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการเมือง เมื่อหลายๆคน จำต้องไปอยู่ต่างที่ต่างสังคม ความคิดความอ่านของแต่ล่ะคนจะไปในทิศทางเดียวกันคงเป็นไปได้ยาก เรื่องการเมืองก็เช่นกัน แม้ส่วนใหญ่ในเครือญาติของผมคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ก็ยังมีบางส่วนคิดเห็นแตกต่างออกไป แต่เรื่องความเห็นต่างทางการเมือง ก็ไม่ได้ทำให้ความรักความผูกพันธ์ ของพวกเราหมู่ญาติพี่น้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะคนในครอบครัวผมและเพื่อนๆ ถนอมน้ำใจกันและกัน ยอมรับในความเห็นที่แตกต่างกันทางการเมืองของแต่ล่ะคน

     แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับความเห็นที่แตกต่างกันจนเกินไปได้ทั้งหมด ดังนั้นการหลีกเลี่ยงไม่สนทนาต่อกันเรื่องการเมือง เมื่อเริ่มเห็นว่ามีความเห็นที่แตกต่างกันมากไป จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ ในการถนอมน้ำใจกันระหว่างคนใกล้ชิด

     สิ่งที่ผมจะนำมาอภิปรายในครั้งนี้ คือความหดหู่สะเทือนใจเล็กๆ จากการได้กลับบ้านตอนปีใหม่ในครั้งนี้ของผม มีสมาชิกในครอบครัวใหญ่ของผมคนหนึ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของผม อายุอ่อนกว่าผม 2-3 ปี ชื่อ “เอก” ด้วยความเป็นญาติที่มีวัยใกล้เคียงกัน ทำให้ผมกับเจ้าเอกสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อโตขึ้นตอนเข้ามากรุงเทพใหม่ๆ ไอ้เจ้านี้เคยมาพักอาศัยอยู่กับผม ที่ล่วงหน้ามาตั้งหลักปักฐานในเมืองหลวงก่อนมัน มาอยู่ได้กับผมได้ไม่ทันไร เจ้าเอกก็ได้เมียทันที เนื่องจากไปทำผู้หญิงในที่ทำงานเดียวกับมันท้อง

     เมื่อไปจัดการขอสมากับพ่อแม่ผู้หญิง ก็ตบแต่งให้มันถูกต้องเรียบร้อย หลังจากแต่งกันแล้ว ก็กลายเป็นผมต้องรับภาระดูแลครอบครัวเล็กๆของเอกเพิ่มขึ้นด้วย เพราะตัวมันยังไม่สามารถดูแลได้อย่างดีพอ อยู่จนกระทั่งเมียมันคลอดลูกสาวที่นับศักดิ์แล้ว ถือเป็นหลานผมชื่อ น้องแพรว และเมื่อญาติผมคนนี้ก็ทำงานจนมั่นคงได้สามารถดูแลชีวิตของตัวเองได้ จึงแยกออกไปตั้งหลักปักฐานด้วยตัวของเค้าเอง

     และน้องแพรวก็คือต้นเรื่องแห่งความสะเทือนใจหดหู่ใจในการกลับบ้านครั้งนี้ของผม

     ปัจจุบัน เจ้าเอกกับผม ก็ยังรักใคร่กันดี แม้ความเห็นทางการเมืองของเรา 2 คน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเอก นั้นถือได้ว่า เป็น พธม.เต็มขั้น เคยลงทุนโดดงานกันสองคนผัวเมียไปร่วมแสดงพลังความเชื่อของตัวเองที่สุวรรณภูมิมาแล้ว แม้ไม่ใช่สาวกที่ทนปักหลักยืดเยื้ออยู่นานๆเพระต้องทำงาน แต่ถ้าเป็นวันว่างวันหยุดเอกกับเมียมันไม่เคยพลาดที่จะไป

     กลับบ้านในปีใหม่ปีนี้ผมจึงมีโอกาสพบเอกและครอบครัวของมันอีกครั้ง น้องแพรวโตขึ้นมากจากปีก่อนๆ ตอนนี้อายุ 12 ขวบแล้วเพิ่งขึ้น ม.1 และผมก็ไม่แปลกใจเลยที่สอบถามน้องแพรว ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องราวทางการเมือง เพราะรู้ดีว่าเด็กที่พ่อแม่เป็นพันธมิตร อยู่ในสภาวะแวดล้อมแบบนั้นก็ต้องเป็นตามพ่อแม่ เว้นเสียแต่ว่า จะโตจนรู้จักใช้ความคิดเหตุผล ของตัวเองตัดสินเรื่องราวต่างๆได้ และหากโตขึ้น หากน้องแพรวมีความคิดและตรึกตรองเองแล้ว ว่าความเชื่อทางการเมืองของเธอนั้น ต่างจากที่ผมคิด ผมเองก็พร้อมที่จะยอมรับในความเห็นของหลานสาวผมคนนี้ เหมือนกับที่ยอมรับในความเห็นต่างทางการเมืองของพ่อแม่เธอ

     แต่สิ่งที่ทำให้ผมสะเทือนใจ คือคำตอบที่ได้รับจากน้องแพรว มันไม่ใช่ความเห็นที่แตกต่างทางการเมือง แต่มันคือความเกลียดชังที่ สื่อมวลชนไร้จรรยาบรรณกรอกหูและฝั่งหัวในความคิดของเยาวชนที่บริสุทธิ์สดใสอย่างหลานสาวผม สื่อแย่ๆ(จริงๆอยากใช้คำแรงกว่านี้)ที่ว่า คือ ASTV

     ผมถามน้องแพรวว่า “ใครคือนักการเมืองที่น้องแพรวชื่นชอบ” 
     น้องแพรวตอบผมว่า “แต่ก่อนเคยชอบนายกอภิสิทธิ์ แต่ตอนนี้ไม่ชอบแล้ว” 
     ผมจึงถามต่อว่า “ทำไมล่ะ”
     เธอบอกว่า “ลุงสนธิบอกนายกอภิสิทธิ์เป็นคนไม่ดี แต่น้องแพรวก็ไม่ได้เกลียดนายกอภิสิทธิ์หรอกนะค่ะ แค่ไม่ชอบเฉยๆ” 
     “แล้วน้องแพรวเกลียดใครล่ะ” ผมถามต่อทั้งๆที่รู้คำตอบของหลานสาวอยู่แล้วว่าคือใคร
     “ทักษิณค่ะ” น้องแพรวตอบผมทันทีโดยไม่คิด และน่าแปลกที่น้ำเสียงของเธอบ่งบอกได้ถึงความเกลียดชังจนผู้ฟังอย่างผมรู้สึกได้
     “ทำไมล่ะ” แม้รู้ว่าสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้หลานสาวผมเป็นแบบนี้ แต่ผมก็ยังถามต่อไป เพราะอยากรู้ว่า ไอ้สื่อเลวๆ (ขออภัย อดใช้คำนี้ไม่ได้จริงๆ) มันใส่อะไรลงไปในหัวสมองของหลานสาวผมบ้าง
     “ทักษิณไม่รักในหลวง และขี้โกงค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำเอาผมอึ้ง

     ไม่ได้อึ้งกับคำว่า “ขี้โกง” ที่เธอบอกผม แต่ผมอึ้งกับคำว่า “ไม่รักในหลวง” บอกตามตรงผมเคยได้อ่านเรื่องนี้มาบ้างแล้วตามบอร์ดการเมืองหลายแห่ง เคยเห็นข้อหาไม่รักสถาบันของนายกทักษิณตามที่ต่างๆมาก็มาก แต่บอกได้เลย ว่าผมไม่เคยรู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่ได้พบและได้อ่าน เพราะผมใช้วิจารณญาณของผมตัดสินในเรื่องที่ได้รับรู้

     แต่ทันทีที่ผมได้ฟังจากปากหลานสาววัย 12 ขวบของผมแล้ว ผมรู้สึกสะเทือนใจอย่างแรง แล้วคิดว่าทำไมคนบางคนต้องปลูกฝั่งความเกลียดชัง ที่มีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งด้วยข้อหาที่ร้ายแรงมากถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะสื่อเลวๆ ต้องการจะดึงมวลชนให้มาเห็นด้วยกับความคิดของตนเอง จึงใส่ร้ายป้ายสีใครบางคนที่ตนเองเกลียดชัง แต่พวกมัน(สื่อเลวๆ)คงไม่ได้คิดเลยว่า ไม่ได้มีมวลชนคนที่มีวุฒิภาวะเท่านั้น ที่ได้ดูการนำเสนอของพวกมัน ยังมีคนอย่างหลานสาวของผม เด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่มีวุฒิภาวะพอ ที่จะตัดสินเรื่องราวด้วยตนเองดูพวกมันอยู่ด้วย ดังนั้นการกระทำของพวกมันคือการล้างสมอง โดยที่เจ้าตัวเค้าไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ

     กรณีล่าสุด คดีสส.พาคนไทยไปให้ทหารเขมรจับกุม เพื่อปลุกกระแสคลั่งชาติขึ้นมาอีกครั้ง สื่อเลวๆแห่งนี้ ก็เล่นบทเดิมๆ คือปลุกระดมความรักชาติด้วยความเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม ด้วยการจัดรายการเชิญผู้อวดอ้างว่าตนมีความรู้(ผมไม่อยากใช้คำว่า นักวิชาการ) มาเสวนาแสดงความเห็นในลักษณะดูหมิ่นดูแคลนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินว่า ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร หากคนในประเทศเพื่อนบ้านดูรายการนี้และสามารถเข้าใจในภาษาไทยได้ คงเกิดความรู้สึกเกลียดชังอย่างยิ่ง พวกเขาจะไม่เกลียดเฉพาะ ASTV หรอก แต่เขาจะเกลียดชังประเทศไทยทั้งประเทศ ผมอยากรู้เหลือเกินว่า สื่ออย่าง ASTV คิดจะทำอะไร ทำลายประเทศรอบใหม่ เพื่ออะไรกัน

     ตอนนี้ ผมนึกห่วง ห่วงว่าอนาคตต่อไป หลานสาวผมจะโตพร้อมกับความเกลียดชัง ที่ถูกสื่ออย่างพวกมันระดมฝังใส่สมอง

     หากจะถามผม ว่าผมเกลียดอะไรมากที่สุดในระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมืองเรา แต่ก่อนผมคงตอบว่า การปฏิวัติรัฐประหาร แต่ตอนนี้ผมคงต้องตอบว่า การปฏิวัติรัฐประหารและ ASTV

แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 23:57:19

แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 23:55:38

แก้ไขเมื่อ 02 ม.ค. 54 23:44:11

จากคุณ : พระรองตลอดกาล
เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 54 23:42:22 A:183.89.198.223 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com