Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กดท่านเพื่อยกตนข่ม ติดต่อทีมงาน

     เป็นอีกวันที่ต้องขอใช้สิทธิ์อภิปรายในเรื่องเดิมซ้ำกับเมื่อวานอีกครั้ง ทั้งที่จริงแล้ววันนี้ผมกะจะอภิปรายในเรื่องอื่น มิใช่เรื่องเดิม ก็คงต้องยกความดีความชอบให้คุณข้างบูรพา ที่ให้เกียรติมาอบรมสั่งสอนผม จากกะทู้ สื่อเลว ล้างสมอง  ของตัวผม และกะทู้ เพราะใคร.... ของคุณข้างบูรพา ถึงเรื่องการอบรมดูแลบุตรหลาน ต้องบอกว่าสิ่งที่คุณข้างบูรพาเอ่ยถึงลูกของตัวเอง เพื่อนำมาใช้เปรียบเทียบให้ผมดูเป็นผู้ใหญ่ไร้คุณภาพ และเป็นตัวการที่พยายามล้างสมองหลานสาวตัวผมเองต่างหาก อย่าไปโทษสื่ออย่าง ASTV ทำให้ผมเข้าใจชัดเจนกระจ่างในระดับหนึ่ง

     แต่ไม่ได้เข้าใจและเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณข้างบูรพายกมาสั่งสอนผมหรอกนะ แต่ผมเข้าใจว่าคุณข้างบูรพาเป็นคนเช่นไรต่างหาก เพราะต้องบอกเลยว่าผมแทบไม่เคยอ่านบทอภิปรายของคุณข้างบูรพาเลย อาจมีบ้างที่อ่านผ่านๆแต่ก็ไม่เคยได้จดจำใส่ใจ อาจด้วยเพราะเนื้อหาการอภิปรายของคุณข้างบูรพานั้น อาจเป็นการอภิปรายแบบฉาบฉวยสนับสนุนรัฐบาล แบบหาเหตุผลและข้อมูลอ้างอิงอะไรไม่ได้เลย ไม่เหมือนอย่างการอภิปรายของคุณthyrocyte ผู้ที่ผมถือเป็นมิตรทางการเมือง แม้ความเห็นของเราสองคนจะแตกต่างกันก็ตาม

     จากการไล่ย้อนไปดูกะทู้เก่าๆของคุณข้างบูรพา เห็นการอภิปรายแบบหยิบคำอภิปรายของคนอื่นมาตีความตามใจตัวเอง โดยเบี่ยงเบนประเด็นไปจากเจ้าของกะทู้เดิมที่เขาต้องการจะสื่อ เหมือนอย่างที่หยิบเอาส่วนหนึ่งจากคำอภิปรายของผม มาใช้อบรมสั่งสอนตัวผมเองเมื่อคืนก่อน ทำให้ผมได้รู้ว่าการกระทำของคุณนั้น ไม่ได้แตกต่างจาก ASTV ที่ผมได้อภิปรายเมื่อคืนก่อนเลย จึงทำให้ผมคิดได้ว่า ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมาเสียเวลาอภิปรายชี้แจงให้คุณข้างบูรพารับทราบถึงความหมายในเรื่องที่ผมอภิปรายไปแล้ว ผมจึงขอยุติการพูดถึงคุณแต่เพียงเท่านี้ เพราะเห็นว่าพูดไปก็จะกลายเป็นเสียเวลาซะเปล่าๆ สู้ใช้กะทู้นี้อภิปรายในเรื่องที่ผมอยากจะแสดงความเห็นดีกว่า

     ปกติคนไทยสมัยก่อนหากอยากเป็นที่ยอมรับในสังคม ต้องเป็นคนที่ประกอบคุณงามความดีจนเป็นที่ยอมรับ หรือหากยังไม่เป็นที่ยอมรับ ต้องจะต้องแสดงความสามารถของตนให้เป็นที่ประจักษ์ แม้บางครั้งอาจแสดงออกด้วยวิธีผิดๆ ตัวอย่างเช่น ลูกคนหนึ่งคิดว่าตัวเองโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ขออนุญาตพ่อแม่ เพื่อจะออกไปสร้างฐานะด้วยตัวเอง แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ เห็นว่าลูกยังเด็กเกินไป จึงได้ทักท้วงห้ามปราม แต่ลูกก็ยังไม่รับฟังใช้ทิฐิของตนหนีออกจากบ้าน ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ เพื่อตัวเองจะได้ไปทำตามสิ่งที่ตัวเองคิด ประเภทนี้เขาเรียกว่า “คนอวดดี” แต่ก็มีไม่น้อยที่คนอวดดีเหล่านี้ ทำได้ตามสิ่งที่ตัวเองมุ่งมาดปารถนา เมื่อเวลาลูกกลับบ้านพร้อมกับ ความสำเร็จ พ่อแม่ก็คงได้แต่บอกทั้งความปิติยินดีว่า “ลูกคนนี้ มันอวดดีจริงๆ”

     การเมืองไทยเองก็เช่นกัน ในสมัยก่อนหากต้องการได้รับเลือกตั้ง นักการเมืองคนนั้นก็ต้องเป็นคนที่คนในสังคมหมู่มากให้การยอมรับ แต่การจะประกาศว่าตัวเองเป็นคนมีคุณงามความดี ให้คนหมู่มากในสังคมยอมรับได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสังคมนี้ไม่ได้จำกัดเพียงหมู่บ้านไม่กี่แห่ง หรือตำบลไม่กี่ที่ จำต้องมีตัวช่วยกระจายบอกเรื่องราวคุณงามความดีของตัวเอง ให้คนในสังคมย่อยๆอย่างหมู่บ้านรึตำบลได้รับรู้ ตัวช่วยที่ว่านั้นคือ หัวคะแนน ซึ่งการมีหัวคะแนนไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะหัวคะแนนที่เขายอมช่วยผู้สมัครคนใดคนนึงหาเสียง แสดงว่าเขาเห็นแล้ว ว่าคนๆนั้น เป็นคนดีจึงได้นำเรื่องราวของนักการเมืองนั้น ไป “อวดดี”ต่อคนในชุมชนของตัวเอง

     และอาจด้วยสภาพสังคมที่แปรเปลี่ยนไป ความเจริญเข้ามาเงินตราเข้ามามีอำนาจ จึงมีนักการเมืองบางส่วนใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการอวดดีต่อหัวคะแนน เพื่อหวังในคะแนนเสียง ซึ่งนี้ก็เป็นวิธีที่ผิด และทำลายระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่ว่าจะมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม การเมืองไทยในสมัยก่อน ก็เป็นไปในรูปลักษณะของการ “อวดดี”

     แล้วก็มีการพัฒนาการมากขึ้นของการเมืองไทย เมื่อนักการเมืองหัวสมัยใหม่คนนึง ได้ใช้นโยบายของตัวเองและสื่อสารมวลชนเป็นตัวช่วยกระจายข่าวความสามารถ และคุณงามความดีของตัวเอง ให้กับคนหมู่มากได้รู้จัก และนิยมชมชอบด้วยตัวของตัวเอง โดยมิต้องอาศัยพึ่ง หัวคะแนนแต่เพียงอย่างเดียว นักการเมืองคนนั้นชื่อ ทักษิณ ชินวัตร และท่านก็เป็นนักการเมืองคนสุดท้ายในประเทศนี้ ตามความคิดของผม ที่ทำการ “อวดดี” ได้ประสบผลสำเร็จ เห็นได้จากการที่ท่านถูกบีบให้หลุดจากวงโคจรการเมืองไทยไปแล้ว แต่ความนิยมชื่นชมที่ประชาชานมีให้ท่าน ก็ยังไม่เสื่อมสลาย นักการเมืองในปัจจุบันบางคนก็พยายามทำตาม แต่ทำออกมาแล้วกลับได้รับการยอมรับแตกต่างจากท่านายกทักษิณ ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด จนใจที่ผมจะวิเคราะห์จริงๆ

     วันนี้ผมไม่ได้จะมาอภิปรายยกหางท่านนายกทักษิณ แต่อย่างใด แต่จะมาอภิปรายถึงความเปลี่ยนไปในวงการเมือง ที่เคยเป็นไปในรูปแบบ “อวดดี” ในวันนี้รูปแบบการเมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างไร

     แต่ในปัจจุบันการเมืองไทยไม่ได้เป็นไปในรูปแบบเดิมแล้ว กลับผิดแผกแตกต่างออกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เนื่องด้วยสื่อสารมวลชนสมัยนี้เข้าถึงมวลชนได้ง่าย และสร้างตัวเองให้มีอิทธิพลจนหน่วยงานของรัฐไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย มันเป็นเรื่องแปลกอย่างเหลือเชื่อ  ที่สื่ออย่าง ASTV คือหัวแรงหลักในการโค่นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ อย่างรัฐบาลทักษิณ และยังกระทำการในรูปแบบเดิมเรื่อยมากับรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย และตอนนี้ก็กำลังทำกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ในตอนนี้ เห็นมีเพียงรัฐบาลสุรยุทธ เท่านั้น ที่สื่อแห่งนี้ พินอบพิเทาเอาอกเอาใจ

     รูปแบบวิธีการการทำงานของ ASTV ตรงข้ามกับการเมืองในสมัยก่อน เพราะ ASTV ไม่ได้อวดดีนำเสนอคนหรือนักการเมืองที่ตัวเองชื่นชอบ ป่าวประกาศในสังคมรับรู้ แต่ ASTV ใช้วธีการเหยียบย่ำให้คนที่ตัวเองไม่ชื่นชอบให้ดูเลวทรามต่ำช้า เพื่อยกระดับความดีของตัวเอง คำโบราณว่าไว้ว่า “อย่ายกตนข่มท่าน” คืออย่าได้อวดดีแสดงอากัปกิริยากับคนอื่นหรือคนที่ด้อยกว่า ASTV เปลี่ยนแปลงบัญญัติคำขึ้นใหม่ให้กลายเป็น “กดท่านเพื่อยกตนข่ม”

     การยัดเยียดข้อหากะโหลกกะลาน่าขบขันสารพัดในกับนายกทักษิณ ทั้งขี้โกง โกงกินสนามบินสุวรรณภูมิ(นึกถึงแล้วขำ แล้วยังไง ทุกวันนี้สุวรรณภูมิได้รับการยอมรับในระดับโลก) ไม่จงรักษ์ภักดี (ซึ่งก็มีแต่คำกล่าวอ้าง และหยิบบางคำของนายกทักษิณมาบิดเบือนตีความใส่ร้ายป้ายสี) ระบอบทักษิณ (อันนี้ยิ่งน่าหัวเราะใหญ่ การที่ทำทักษิณทำงานแบบร่วมอำนาจ บริหารงานในรูปแบบบริษัท จนผลงานเป็นที่ประจักษ์ ยังเอามาด่า) แต่การกระทำที่ดูน่าหัวเราะของผม กลับทำให้กลุ่มคลั่งอำนาจบ้าจี้ ขนรถถังออกมาเปลี่ยนแปลง โดยอ้างเหตุผลที่น่าขบขันว่า กลัวประชาชนที่แบ่งฝ่ายในประเทศตีกันเอง

     แต่ก็ขำไม่ออกตรงที่ว่า เมื่อเวลาอีกสีหนึ่งกระทำการเหมือนกันบ้าง พวกคลั่งอำนาจเหล่านี้ กลับเอาปืนมายิงคนที่มาชุมนุมตายไปซะ 91 ศพ บาดเจ็บอีกหลายพัน แถมจำคุกด้วยข้อหาแปลกประหลาด คือก่อการร้าย โดยที่สื่ออย่าง ASTV ที่โดนข้อหาเดียวกันแต่ไม่ต้องนอนคุก และดูว่าจะไม่มีวันได้นอนคุกด้วย จากกระบวนการยุติธรรมที่เอียงกะเท่เร้ในทุกวันนี้

     พวกมันนั่งหัวเราะชอบใจรายงานข่าวอยู่บนความเทิงรื่นเริง เมื่อเห็นคนในชาติเดียวกลับพวกมันต้องล้มตาย เพราะการกระทำที่คล้ายคลึงกับพวกมันแต่พวกมันรอด อันนี้คือสิ่งที่ผมรับไม่ได้

     สถาบันการเมืองอย่างพรรคการเมืองบางแห่ง ก็ดันหลงผิดหันไปเล่นตามเกมส์ของสื่อห่วยๆรายนี้ด้วย ตอนนี้เลยการเป็นว่าทั้งพรรคการเมืองและนักการเมือง ต่างเลิกอวดสิ่งดีๆที่ตนมีแล้ว หันมาเป็นช่างทาสีเที่ยวใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม คงไม่ต้องให้บอกนะครับ ว่าพรรคการเมืองนั้น ชื่ออะไร

     จริงๆแล้วผมอยากให้การเมืองไทยกลับเป็นเหมือนเก่า คือทุกคนต่างแข่งขันที่จะอวดความดีประชันกัน แม้ตัวผมเองรู้ดีว่า สิ่งที่นักการเมืองอวดออกมานั้น เชื่อถือได้ไม่ถึงครึ่งก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าการมองไปแล้ว เห็นแต่ตัวแทนที่เป็นคนเลวหมดแบบนี้

     สุดท้าย ขอบอกคุณข้างบูรพาอีกสักหน่อยว่า ผมเป็นคนประเภท อวดดี ชอบอวดในความรู้ความสามารถที่ผมมีอยู่แม้มันอาจจะมากมายอะไร แต่อย่างไรมันก็ดีไปกว่า การอวดตัวโดยที่ไม่มีอะไรเลย

แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 54 11:21:10

จากคุณ : พระรองตลอดกาล
เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 54 10:55:05 A:183.89.198.223 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com