Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีผุ้มีวาทะกรรมอำพราง กลับกรอก พูดความจริงครึ่งเดียว และหน้าซื่อใจคดแห่งยุคสมัย ติดต่อทีมงาน

นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ผู้มีภาพเป็นอดีตนักการเมืองน้ำดีมีอุดมการณ์ ได้ขุดหลุมฝังตัวเองพร้อมทั้งตีแผ่ธาตุแท้ความตลบแตลง กลับกลอก และนิสัยที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อสนองตัณหาแห่งกระสันในอำนาจให้โลกได้ประจักษ์ (ไม่ใช่แค่ประเทศไทย ขอย้ำ!) ผ่านวาทะที่ยอกย้อน ประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำสวยหรู อันเป็นผลงานและความสามารถโดดเด่นเดียวที่ได้รับการยอมรับจากสังคม หากแต่ไม่สามารถปิดบังตัวตนและพฤติกรรมที่แท้จริงของคนผู้นี้ต่อสายตาคนทั่วไปได้

--- กรณีอัปยศและเป็นสิ่ง โ ส โ ครกทางประวัติสาสตร์การเมืองไทยกรณีหนึ่งคือ

การ "ขอพื้นที่บนใบหน้าคืน" ของนายอภิสิทธ์ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้ายังผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่าสิบคนและบาดเจ็บอีกมากมาย

ทั้ง ๆ ที่นายกฯเคยพูดว่าให้ชุมนุมได้ที่ผ่านฟ้า แต่คล้อยหลังมาอีกเพียง 1-2 วัน กลับสั่งให้สลายการชุมนุมในเวลาเย็นพร้อมคำสั่งว่าต้องจบให้ได้ภายในคืนนั้น

ทั้ง ๆ ที่เคยสนับสนุนเสื้อเหลืองมาตลอดว่าการชุมนุมเป็นสิทธิที่ทำได้ ในระบอบประชาธิปไตย (ณ.สถานที่เดียวกันและเป็นการชุมนุมทางการเมืองเหมือนกัน)

แต่นายกรัฐมนตรีคนนี้กลับลืมถ้อยคำที่ตนเองเคยกล่าวไว้สิ้นประดุจถ่มน้ำลายลงบนพื้น จะพิเศษก็ตรงที่น้ำลายที่ถ่มออกมามีเลือดของประชาชนที่นายอภิสิทธิ์ได้ขย้ำรอยเขี้ยวไว้ปนออกมาด้วย

และความสามารถที่พิเศษยิ่งกว่านั้นคือ คนผู้นี้สามารถทำสิ่งที่อำมหิตและทรยศต่อสิ่งที่ตนเคยพูดไว้ด้วยใบหน้าที่บ้องแบ้ว ดวงตาสุกใสฉายรอยยิ้มน้อย ๆ ประดุจโกวเนี้ยในห้องหอพร้อมกับถ้อยคำที่ประดิษฐ์มาอย่างดีว่า "ขอพื้นที่คืน"

--- การที่เคยออกมาพูดเหมือนมีอุดมการณ์เสียเต็มประดาดังที่เราเคยได้ยินและพะอีดพะอมกันมาแล้วว่า

“...การที่จะมีประชาชนจากหนึ่งคนหรือจะแสนคน ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ ทบทวนตัวเอง หรือพิจารณาตัวเอง ไม่ได้ขัดกับหลักประชาธิปไตยครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีข้อสงสัยว่า การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนั้น อาจจะแค่บกพร่องผิดพลาด ถ้าร้ายแรงกว่านั้นก็คือ ละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิของประชาชน หรือเลวร้ายอีกเรื่องหนึ่งคือ การทุจริตคอร์รัปชัน จริงครับ ปัญหาเหล่านี้มีกระบวนการทางกฎหมาย แต่ท่านดูเถอะครับ ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนใหญ่เขาไม่รอให้กฎหมายจัดการครับ มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าสำนึกหรือความรับผิดชอบของนักการเมือง ที่เขาบอกว่ามันต้องสูงกว่าคนธรรมดา มีเพื่อนสมาชิกวุฒิสภา ท่านหนึ่งท่านยกตัวอย่างกรณีของเกาหลี นั่นแค่คิดนโยบายนะครับ ว่าต้องเปิดการค้าเสรีเอาเนื้อวัวจากอีกประเทศหนึ่งเข้ามานะครับ คนลุกฮือขึ้นมาเป็นแสน เขาลาออกทั้งคณะ ผมว่าอายุรัฐบาลเขาสั้นกว่ารัฐบาลนี้นะครับตอนที่เขาตัดสินใจอย่างนั้น ใครที่เคยอยู่ในประเทศประชาธิปไตยในยุโรป ในสหรัฐ จะทราบ อย่าว่าแต่รัฐมนตรีเลยครับ ส.ส. ส.ว. บางทีมี เรื่องอื้อฉาวส่วนตัว ลาออกครับ...

ต้องยอมรับว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯเป็นการที่ประชาชนสะสมความไม่พอใจมานาน ถึงจะจัดการขั้นเด็ดขาดก็ไม่อาจทำลายแนวคิดต่อต้านที่มีได้...สิ่งสำคัญที่จะรักษาประชาธิปไตยได้คือนักการเมืองต้องรักษาศรัทธาของประชาชน ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องรับผิดชอบได้ เสียสละได้ เพื่อแก้ไขปัญหาความวุ่นวายของบ้านเมือง ในบางประเทศเมื่อมีปัญหาเรื่องส่วนตัวยังลาออกเลย ตรงนี้ต่างหากที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้าใจ”

ซึ่งไม่ว่านายอภิสิทธิ์จะพยายามแถกและแก้ต่างในภายหลังอย่างไรก็ตาม แต่คนที่ไม่ปัญญาอ่อนเมื่อได้ฟังแล้วย่อมเข้าใจได้ว่า สาระและเนื้อหาของคำพูดดังกล่าวอยู่ที่การไม่ยึดติดกับอำนาจและพร้อมแสดงสปิริตเมื่อมีการต่อต้านจากประชาชน

แต่เมื่อถึงคราวที่นายอภิสิทธิ์ประสบกับตัวเอง เขากลับเป็นหนึ่งในบุคคลที่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะใช้กำลังกับผู้ชุมนุมที่สุดช่างเป็นพฤติกรรมตรงกับสุภาษิตยิวที่ว่า "สุนัขกินสิ่งที่ตนสำรอกออกมา"

                             *** นี่แค่ "ผ่านฟ้า" กรณีเดียวเราเห็นกำพืดมาร์คปุ๊กคุ้งได้ขนาดนี้***

และเมื่อนับย้อนขึ้นจะเห็นกรณีบิดเบือน กลับกลอก ตลบแตลง พูดความจริงครึ่งเดียวอีกหลายกรรมหลายวาระ

--- กรณีล่าสุดที่นายกฯฝึกงานแห่งตึกไทยคู่ฟ้า กลายเป็นเด็กหน่อมแน้มระดับโลก

เมื่อส่ง ส.ส ไปให้กัมพูชาจับซึ่งนอกจากจะส่งผลให้เป็นลูกไล่และเสียรังวัดในเวทีต่างประเทศบานเบอะ นายอภิสิทธิ์ยังตบหน้าตัวเองฉาดใหญ่ด้วยการพุดความจริงครึ่งเดียวตามถนัดว่า

"คลิปที่กัมพูชานำมาแสดงนั้นถูกตัดต่อ" โดยพูดทิ้งไว้แค่นี้ นั้นย่อมทำให้คนมีสมองเข้าใจได้ว่า นายกฯไทยหมายความว่าข้อมูลภาพและเสียงที่ได้ชมนั้นเป็นเท็จ เพราะถูกตัดเอาตอนสำคัญออกไป แต่เมื่อคลิปเต็ม ๆ ปรากฏ คนที่ขายหน้านั้นคืออภิสิทธิ์ เพราะคลิปฉบับเต็มและที่นำมาแสดงก่อนหน้านั้นแทบจะไม่มีเนื้อหาแตกต่างกันเลย เพียงแต่ทำให้กระชับขึ้นเท่านั้น นายอภิสิทธิ์คิดจะใช้ลูกไม้ตื้น ๆ ด้วยการยอกย้อนและพูดจริงครึ่งเดียวอย่างที่ถนัด แต่งานนี้เท่ากับประจานตนเอง

                                        หรือจะย้อนหลังขึ้นไปเราก็เคยได้เห็นกันหลายเหตุการณ์ อาทิ

--- การโจมตีนโยบายประชานิยมของทักษิณอย่างรุนแรง

ว่าทำให้เสียวินัยทางการเงิน (ได้ยินคน ๆ นี้พูดเต็มสองรูหูเมื่อครั้งไปปราศัยใหญ่ที่เชียงใหม่) มิหนำซ้ำยังเอาชื่อนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลทักษิณเดินเหยียบลงมาตามขั้นบันได แต่ภายหลังกลับลอกเลียนเขาทั้งดุ้นแล้วยังกระหน่ำลดแลกแจกแถมแบบ "โคตรประชานิยม"

---- รัฐธรรมนูญปี 50 ให้รับไปก่อนแล้วค่อยแก้

แต่ก็ดึงดันและขัดขวางการจนถึงที่สุดไม่ให้แก้ไข นี่ถ้าไม่จนตรอกเพราะไปสัญญากับเนวินไว้ก็คงเตะถ่วงไปเรื่อย ๆ โดยอาศัยชุดคำพูดหรู ๆ แต่ขาดความจริงใจอีกเช่นเคย

---- การคัดค้านเรื่องปราสาทพระวิหารอย่างเอาเป็นเอาตาย และมีท่าทีสนับสนุนการกระทำของพันธมิตรในเรื่องนี้ เพียงเพราะต้องการโค่นล้มรัฐบาลสมัคร , สมชาย โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียวหรือไม่ แต่พอถึงคราวที่ตัวเองเป็นรัฐบาลกลับ ประนีประนอม หงอ และเสียท่า กัมพูชามากกว่ารัฐบาลใด ๆ ที่ผ่านมา

                                           หรือแม้กระทั่ง !!!!!

---- การพูดถ้อยคำที่สะอิดสะเอียนที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง

ทำนองว่า "ถ้าแพ้เลือกตั้งแล้วเลือกตั้งแล้วบ้านเมืองสงบ ก็ยินดีที่ยอมแพ้เลือกตั้ง" โอ้ววว .. ช่างเป็นคำพูดที่ดูดีมีอุดมการณ์สูงส่งอะไรปานนั้น แต่ประทานโทษ คนที่ฟังจำนวนมากเมื่อได้ฟังแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึก ตลก ขำขัน หดหู หรือ สมเพชดี คงเป็นอาการที่คล้าย ๆ กับการแพ้ผงชูรสที่ทั้งอยากอาเจียนและอยากอุจาระในเวลาเดียวกัน

ก็ทำซะขนาดนี้ ไม่ยอมลงเลือกตั้งก็แล้ว , สมคบกับเสื้อเหลืองก็แล้ว , เล่นเกมส์อ่อยให้ทหารยึดอำนาจก็แล้ว , สลายการชุมนุมก็แล้ว , งูเห่าก็แล้ว ฯลฯ ที่ทำมาทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะกล้วแพ้เลือกตั้งหรอกหรือ ทำไมถึงไร้ยางอายกล้าพูดประโยคนี้ออกมาได้ ... ช่างเป็นสายพันธุ์พิเศษจริง ๆ

นับว่านายอภิสิทธิ์นั้นมีความสามารถด้านการพูดอยู่ในระดับสปีชี่ส์เดียวกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล หากแต่นายอภิสิทธิ์เหนือกว่านายสนธิตรงที่ว่า ปั้นหน้าได้ใสซื่อกว่า แนบเนียนกว่า และกลืนน้ำลายตัวเองได้มากกว่า ดังนั้นคำพูดที่นายอภิสิทธิ์ฝากด่าไปถึงจตุพรประมาณว่า "โกหกจนเชื่อว่าสิ่งที่โกหกนั้นเป็นจริง" น่าจะเป็นคำพูดที่มาจากจิตใต้สำนึกของนายอภิสิทธิ์และเหมาะสมกับตัวเขาเองที่สุด

เหล่านี้เป็นตัวอย่างเด่น ๆ เท่าที่พอจำได้เกี่ยวกับพฤติกรรมและวาทะกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งพฤติกรรมคำพูดประเภทนี้คงมีให้เราเห็นเสมอตลอดเส้นทางการโลดแล่นบนถนนการเมืองของชายผู้นี้ เพราะนั่นคงเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขาซึ่งไม่อาจสลัดให้หลุดหรือฉาบไว้ด้วยภาพพจน์ที่ดูดีเยี่ยงคนหน้าซื่อใจคดได้

 

แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 54 23:40:43

จากคุณ : Uncle-Dave
เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 54 21:57:17 A:117.47.144.230 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com