Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
วันนี้อารมณ์…..ฮาร์ดคอนิดๆ พระรองฯ ขอพูดคุยในเรื่องบางเรื่อง ที่มัน “หนักแผ่นดิน” ติดต่อทีมงาน

     ผมอภิปรายเรื่องเบาๆ เขียนจดหมายก็แล้ว แต่งกลอนเปลี่ยนบรรยาศก็ทำมาหลายวันแล้ว วันนี้ขอเปลี่ยนแนวว่ากันด้วยเรื่องหนักๆบ้าง จากกรณีคนไทย 7 คน ถูกประเทศเพื่อนบ้านจับกุม ข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย ผมจะไม่อภิปรายว่าใครผิดใครถูก หรือแผ่นดินตรงนั้นมันเป็นของชาติใด เพราะเพื่อนๆสมาชิกหลายท่านสวมวิญญาณผู้สันทัดกรณี ออกมาชี้แจงแถลงไขแล้ว จากหลักฐานชิ้นเดียวกัน คือคลิปบันทึกความอัปยศ จะ 4 นาทีรึ 20 นาทีก็แล้วแต่ พาถกเกียงกันวุ่ยวาย ที่บอกผิดก็ย้ำชัด แส่หาเรื่องเองสมน้ำหน้า บ้างก็ว่าโปรดเมตตายังไงก็คนไทยด้วยกัน บางคนก็สีข้างถลอกปอกเปิก วิเคราะห์เป็นฉากๆ ว่าคณะ “ผู้รักชาติ” หลงทางเดินเลี้ยวผิดไป ไม่ได้ตั้งใจรุกล้ำ ผมคงไม่บอกอะไรมากนัก บอกได้แค่ว่า กรรม (การกระทำ) เป็นเครื่องชี้เจตนา ผิดไม่ผิดว่ากันตามกระบวนการยุติธรรมของเพื่อนบ้าน ที่เชื่อว่ามีมากกว่าบ้านเรา

     วันนี้ผมจะขออภิปรายวิเคราะห์ถึงต้นตอปัญหาและวิธีทางแก้ไข และเนื่องจากผมพยายามออกตัววางท่าว่าตัวเองเป็นคนดี มีใจเป็นธรรม รับฟังความเห็นของทุกฝ่าย แม้หลายๆคนในห้องราชดำเนินนี้ จะรู้ดีว่าผมสนับสนุนขั้วข้างไหน

     แต่วันนี้ผมไม่อาจหน้าด้านวางท่าเป็นคนดีต่อไป เพราะว่าเนื้อหาการอภิปรายวันนี้แรงมาก ดังนั้นขอให้สมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับผม หากจะยังติดตามกะทู้อภิปรายผมต่อไป ก็จงได้ตัดในส่วนที่ท่านคิดว่าผมมีอคติ เช่นสำนวนโวหาร การเล่นคำเสียดสีของผมทิ้งไป (เพราะวันนี้ ถ้อยคำค่อนข้างรุนแรง ยังไงก็ต้องขออภัยมิตรรักแฟนเพลงทุกท่านด้วย) แล้วท่านก็คัดกรองเฉพาะหลักการและเหตุผลที่ผมยกมาอภิปราย ท่านจะรู้ว่า ผมก็มีความห่วงใยในประเทศชาติไม่ต่างจากท่าน

     ถ้าเพื่อนสมาชิกท่านใดยังตะขิดตะขวงใจกับถ้อยคำแสลงหู กับถ้อยคำอภิปรายจากคนที่มีธงปักไว้ในใจอย่างผม ก็แนะนำให้เปลี่ยนช่องหมุนคลื่นไปรับชมกะทู้อื่นดีกว่า เพราะผมไม่อยากให้การอภิปรายของผมต้องเป็นเหตุให้คนไทยด้วยกันเองมาทะเลาะกัน

     พล่ามมามากแล้ว มีแต่น้ำจิ้ม เนื้อหนังมังสาไม่มีเลย ……ฮ่าๆๆ
     งั้นก็เข้าเรื่องกันสักที ต้นเหตุปัญหาของเรื่องนี้ คือพื้นที่ทับซ้อน ที่คนกลุ่มหนึ่งนำมาใช้อ้างเป็นกลยุทธช่วงชิงมวลชน ใครจะช่วงชิงใคร คงไม่ต้องวิเคราะห์วิแคะให้เปลืองสมอง เพราะทุกท่านก็รู้เหมือนที่ผมรู้ ดังนั้นผมจะโฟกัสจับประเด็นไปที่ พื้นที่ทับซ้อนเพียงอย่างเดียว

     ดังที่ทุกๆท่านทราบ ปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน มีมาเนิ่นนานแล้ว ไม่ว่าจะย้อนไปในยุครัฐบาลใด  และก็ไม่เคยมียุครัฐบาลใดที่สามารถสรุปแก้ไขปัญหานี้ได้สักที เคยมีเหมือนกันที่ทำท่าว่าจะเห็นแสงร่ำไรที่ปลายอุโมงค์แก้ไขปัญหาเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็มืดดับไป เพราะการคว่ำ MOU ปี 43 ที่รมต.ต่างประเทศในสมัยนายกสมัคร นายนพดล ปัทมะเจรจากับประเทศกัมพูชา เพื่อสานต่อทำกรอบข้อตกลงร่วมกันที่เริ่มต้นไว้ในปี 2543 คนที่ก่อแรงกดดัน สร้างกระแสต่อต้านก็ไม่ใช่ใคร คนเสื้อสีเดียวกับคนไทย 7 คนที่ถูกจับนั้นแหละ

     บอกตามตรง ตัวผมเองก็ไม่ค่อยชื่นชม นายนพดล ปัทมะ สักเท่าไรแม้จะรู้ว่าคนๆนี้เป็นคนเก่งมีความสามารถ อาจเพราะดูโหวงเฮงเป็นที่ขัดตารำคาญใจ ทำอะไรก็เหมือนจะทำเพื่อประจบเอาใจเจ้านายอย่างอดีตนายกคนโปรดของผม แต่มองในแง่ดี อาจเป็นเพราะการบริหารแบบ CEO ของนายกทักษิณก็ได้ ที่ทำให้ลูกน้องที่อยากโชว์พาว ต้องกระตือรือล้นทำงานเพื่อแสดงผลงานให้เข้าตา แม้ตอนที่นายนพดล ปัทมะ ดำรงตำแหน่ง จะอยู่ในสมัยของนายกสมัคร สุนทรเวช ไม่ใช่ในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณก็ตาม แต่เราทุกคนก็รู้ดีว่า ใครคือผู้กุมชะตารัฐบาลนั้น

     และจากที่เร่งฟิตโชว์พาวเวอร์ในการทำงานของนาย นพดล ปัทมะ ผลงานที่เห็นเด่นชัดเรื่องหนึ่งก็คือ ข้อตกลงร่วมไทยกัมพูชา หรือ MOU 2543 ที่คอการเมืองน่าจะรู้จักดี และตัวผมเองก็เห็นว่านี้เป็นผลงานที่ถือว่าค่อนข้างดีในการทำงานในตำแหน่ง รมต.ต่างประเทศ คนที่เป็นรัฐมนตรีควรทำอย่างนี้ ไม่รู้รัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็นอดีตเอกอัคราชทูตได้ไง วันๆไม่ทำอะไรเลย นอกจากไล่จับคนๆเดียว กับหาเรื่องทะเลาะกับประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ดีไม่ว่าดี ไปด่าผู้นำประเทศอื่นซะอย่างงั้น

     แต่ผลงานหรือนวัตกรรมความคิดใดๆที่เกี่ยวเนื่องกับนายกทักษิณ ต้องถูกลากจูงไปเกี่ยวข้องกับข้อครหาในเรื่องผลประโยชน์เสมอ ต้องมีฝ่ายคัดค้านต่อต้านสุดลิ้มทิ่มประตูในทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ใคร คนหน้าเดิมๆคือบรรดาเสื้อเหลือง ผู้อ้างตนว่าเป็นยามเฝ้าแผ่นดิน คอยรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ แต่มองไปมองมาเหมือน “..มาหวงก้าง” เสียมากกว่า

     ที่ฝ่ายคัดค้านเอามาอ้างจนล้มข้อตกลงร่วมนี้ไป คือเรื่องการกล่าวหาว่าทางฝ่ายไทยทำท่าจะไปยอมรับกับแผนที่ฝรั่งเศส 1: 200,000 ที่ฝ่ายกัมพูชานำมาอ้าง กลัวว่าจะสูญเสียดินแดน ทั้งที่จริงแล้ว MOU ฉบับนี้ เพียงแค่เป็นการกำหนดกรอบการเจรจาเท่านั้น ซึ่งถ้าเริ่มตกลงกันแล้ว ก็แสดงว่า จะยังไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนนั้นได้ จนกว่าจะได้ข้อสรุปจากทั้งสองฝ่ายที่เห็นพ้องต้องกัน

     จุดที่พันธมิตรหวงก้าง เอ้ย..ห่วงใย แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่กองซากหินอารยาธรรมขอม ที่เรียกว่าประสาทเขาพระวิหาร แต่ห่วงกลัวว่าหากข้อตกลงนี้ลุล่วงไป ผลประโยช์จากแหล่งก๊าซและน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลจะตกไปถึง คนที่ศาสดาพัทธมิตรนาย สนธิ ลิ้มทองกุลแค้นจับใจอย่าง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรียกว่าแป๊ะลิ้มโง่งมกับความแค้น จนไม่แหกตาดูบ้างว่า MOU ฉบับนี้ ยังเป็นแค่กรอบกว้างๆ ที่ยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดในเรื่องนี้เลย และหากบรรลุไปถึงจุดนั้นจริง ก็คงจะเหมือนข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันบนพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลของไทย-มาเลเซีย ที่มาจากกรอบการเจรจาMOU22 ดูรายละเอียดว่าหากตกลงกันได้แล้ว ลักษณะการแบ่งผลประโยชน์จะเป็นคล้ายๆรึใกล้เคียงกับข้อตกลงนี้  http://www.dmf.go.th/dmfweb/index.php?option=com_content&view=article&id=29&Itemid=5&lang=th&showall=1

     และหากวันนี้ ข้อตกลง MOU 43 ยังไม่ถูกยกเลิก กรณีคนไทย 7 คนที่อ้างว่าถูกจับตัวไปในพื้นที่ทับซ้อนก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะตามหลักการแล้ว บริเวณพื้นที่ทับซ้อนต้องมีการลาดตระเวณร่วมจากทหารทั้ง 2 ฝ่าย คนไทยทั้ง 7 ก็คงได้รับการปกป้องจากชุดลาดตระเวณของไทย คงไม่ปล่อยให้เขมรจับตัวไปแน่ๆ

     แต่ถึงจะยกเลิกข้อตกลงร่วมไปแล้ว หากประเทศไทยอ้างสิทธิว่าตรงนั้นเป็นเขตแดนไทย ทหารไทยก็ต้องจัดกำลังลาดตระเวณดูแลปกป้องอณาเขตประเทศไทยตามสิทธิ์ที่ไทยกล่าวอ้าง คำถามก็คือ แล้วทหารไทยไปไหนหมดล่ะ  ทำไมไม่ปกป้องดินแดนอณาเขตประเทศไทย หรืออาจเป็นไปได้ว่า ทหารไทยได้ถอนกำลังมาเพื่อมาลาดตระเวณ กระชับพื้นที่แถวราชประสงค์จนหมด เลยไม่เหลือกำลังเพียงพอสำหรับลาดตระเวณพื้นที่ชายแดน

     เขาพระวิหาร ถูกพัทธมิตรหยิบมาโยงเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เพราะ ตามแนวเขตปักปันเขตแดนที่ประเทศไทยยึดถือ บริเวณพื้นที่โดยรอบนั้น ไทยถือว่าเป็นอณาเขตประเทศเรา ซึ่งเรื่องนี้ ศาลโลกก็ได้ตัดสินชัดเจนแล้วว่า ตัวปราสาทเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา พื้นที่โดยรอบเป็นของไทย แต่ที่ดึงดันทำท่าว่าจะให้ศาลโลกตัดสินเปลี่ยนคำตัดสินในอดีต ก็เพียงเพื่อจะเรียกร้องกระแสคลั่งชาติดึงมวลชนมาเป็นพวก

     จะเอาอะไรกันนักหนา กะอีแค่เศษซากก้อนหินกองโตอย่างเขาพระวิหาร ถ้าผมเป็นผู้มีอำนาจนะ ผมจะรื้อไอ้กองหินเหล่านี้ออกจากแผ่นดินของไทยเรา แล้วให้เขมรขนกลับไปประเทศเขาซะ ผมไม่แคร์หรอก เพราะนั่นคืออารยธรรมขอม ผมไม่ได้เป็นชนชาติขอม แต่ผมเป็นชนชาติไทย จะไปเสียดายทำไมกับสิ่งที่ไม่ใช่อารยธรรมของไทย ถ้ารื้อทิ้งได้ก็ดีเสียอีกจะได้หมดสิ้นปัญหา ไม่ให้ใครใช้มาเป็นข้ออ้างเพื่อบาดหมางกับประเทศเพื่อนบ้านอีก ที่สำคัญยังรักษาสิ่งที่ควรหวงแหนไว้ คือพื้นที่อณาเขตประเทศไทยโดยรอบปราสาทนั้นไว้ได้ด้วย อะไรที่อยู่บนประเทศไทย ถ้ามันอยู่แบบหนักแผ่นดินเปล่าๆ ก็รื้อทิ้งเสียดีกว่า

     แต่วิธีแบบนั้น มันก็สุดโต่งเกินไป ผมขอถอนคำพูดครับ การจะให้ประเทศไทยได้ประโยชน์ที่สุด คือการตกลงเจรจากับเขมรแล้วยื่นเรื่องให้เขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกัน และก็ไม่ต้องทำเงื่อนไขข้อตกลงระบุว่าพื้นที่โดยรอบนั้นเป็นของใคร เพราะศาลโลกได้ตัดสินไว้แล้ว ว่าประเทศไทยคือเจ้าของกรรมสิทธิ์ นั่นคือการได้ประโยชน์จากสิ่งที่ไม่ใช่ของเรา แต่อยู่บนแผ่นดินเราอย่างแท้จริง เป็นการทำให้เขาพระวิหารไม่ได้เป็นกองหินที่หนักแผ่นดินไทย น่าเสียดายที่มีคนสติปัญญาดี เคยคิดจะทำแบบนี้แต่ยังไม่ทันสำเร็จ โดนพวกขลาดเขลาเบาปัญญา ยกเลิกไปเสียก่อน

     วันนี้เขาพระวิหารก็ยังเป็นกองหินที่หนักแผ่นดินเราต่อไป แต่ที่จริงแล้วก้อนหินมันอาจจะไม่ได้หนักแผ่นดินไทย เท่าคนไทยบางกลุ่ม แต่วันนี้ แผ่นดินคงสูงขึ้นบ้างแล้วล่ะ เพราะพวกหนักแผ่นดินโดนจับไปตั้ง 7 คน ผมอยากให้พวกที่เหลือโดนแบบนี้บ้างจัง

     สำหรับผู้ที่เห็นต่างจากผม กรุณาอ่านวรรคต่อไปนี้ให้ดีๆ เพราะนี้คือข้อเสนอแนะอย่างสร้างสรรค์ที่ผมจะเสนอแนะต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ว่าควรเปิดการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่างกรอบข้อตกลงขึ้นใหม่ จะเป็น MOU 54 MOUนายกรูปหล่อ อะไรก็ช่าง พวกท่านโปรดไปเจรจาเพื่อรักษาประโยชน์ชาติอย่างที่พวกท่านกล่าวอ้าง พวกท่านทำข้อตกลงตามที่พวกท่านเห็นชอบเห็นสมควรได้เลย ไม่ต้องยึดกรอบ MOU43 ที่พวกท่านเห็นว่าเป็นปัญหาก็ได้ กำหนดใหม่ตามจิตสำนึกรักชาติของพวกท่านเลย แล้วถ้าสิ่งไหนตกลงกับกัมพูชาไม่ได้ ก็เอาไว้ก่อน เอาผลประโยชน์หรือพื้นที่ ที่เห็นตรงกันทั้งสองฝ่าย ปักปันเขตแดนกันให้แน่ชัด และถึงรู้ดีว่ามันยากมาก ไม่มีทางที่รัฐบาลของท่านจะทำข้อตกลงหาข้อสรุปในพื้นที่ทับซ้อนหรือผลประโยชน์ทั้งหมดก็เถอะ แต่นั้นก็เป็นการจำกัดวงปัญหาให้แคบลงเรื่อยๆ แล้วสักวันหนึ่งในชาตินี้ เราจะได้ไม่ต้องมาทะเลาะถกเถียงกันเรื่องนี้อีก และถึงวันนั้นจะไม่มีจริง แต่นี้ ก็จะเป็นผลงานของพวกท่าน รัฐบาลอภิสิทธิ์

     ทิ้งท้ายขอฝากกลอนให้สมกับเป็นลูกหลานสุนทรภู่สักหน่อย ผู้ที่เห็นต่างจงหลับตาอย่าอ่านนะครับ

หนักเอ๋ย แสนหนัก แผ่นดิน
ก้อนหิน กดทับ แสนเข็ญ
มิเท่า คนเขลา ก่อเวร
จนเป็น คนหนัก แผ่นดิน

     ปล. MOU 43 http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7b85cefe0c517a99  อ้างอิง ขอแนะนำให้ท่านที่สนใจ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตนเอง จะได้เห็นบทวิจารณ์ทั้ง2ด้าน เพราะ MOU ฉบับนี้มีการให้ความเห็นไว้อย่างกว้างขวาง และตัวผมเองก็เห็นว่า MOU ฉบับนี้อาจจะมีจุดบกพร่อง แต่ผมมองที่ผลประโยชน์ที่จะได้รับมากกว่า หาก MOU ฉบับนี้สำเร็จลุล่วง

     วันนี้ไม่มีเพลงมาฝาก เพราะเนื่องจากเนื้อหาการอภิปรายร้อนแรงไปนิด ไม่เหมาะที่จะเก็กท่าวางตัวเป็นคนดี แต่ยังไงก็ขอให้รู้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากให้คนไทยรักกัน

แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 54 00:57:25

แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 54 00:53:30

แก้ไขเมื่อ 08 ม.ค. 54 00:38:53

จากคุณ : พระรองตลอดกาล
เขียนเมื่อ : 8 ม.ค. 54 00:36:25 A:183.89.198.223 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com