ได้ยลกันไปแล้วกับนโยบายประชาวิวัฒน์ 9 ข้อ ผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลอภิสิทธิ์
พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ดังเซ่งแซ่ทั้งจากนักวิชาการและสื่อถึงการไม่เป็นประโยชน์ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง แค่นโยบายหาเสียง การสร้างภาระให้แก่ประเทศ เลื่อนลอย เกาไม่ถูกที่คัน ฯลฯ
พูดภาษาชาวบ้านคือ "ไม่โดน" นั่นเอง
อันที่จริงทั้งแม้ส่วนตัวจะไม่ชอบอภิสิทธิ์เพราะคน ๆ นี้เป็นภาพเสมือนของ "ดาร์ค เวเดอร์" (ที่ถูกความกระหายอำนาจชักนำให้ก้าวเข้าสู่ด้านมืดจนถูกดูดกลืนไปทั้งตัวและจิตวิญญาณในที่สุด)
แต่ถึงอย่างไรก็ยังแยกแยะได้ระหว่างความไม่ชอบส่วนตัวกับนโยบายที่ดีมีประโยชน์ ถ้ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีนโยบายใดที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจริง ๆ รับรองว่าไม่โจมตีและอาจจะชมด้วยซ้ำไป ... ว่ากันเป็นกรณีตามเนื้อผ้า
เรื่องของขวัญ 9 ชิ้นก็มีคนชำแหละวิพากษ์วิจารณ์กันไปมากแล้วแต่วันนี้จะชวนดูอีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือ โครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นมหกรรมตำน้ำพริกละลายแม้น้ำระดับประเทศ
อยากเรียกร้องให้มีการติดตามตรวจสอบรวมถึงประเมินผลโครงการนี้ว่าได้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพียงใด
ทั้ง ๆ ที่ใช้เม็ดเงินกันอย่างมหาศาลแต่ผลงานเท่าที่เห็น ๆ ผู้ที่ได้รับประโยชน์หลัก ๆ คือหน่วยงานที่รับงบประมาณกับบริษัทรับจัดงานหรือที่เรียกกันว่า "ออกาไนเซอร์" โดยที่ตัวโครงการไม่ได้เกิดมรรคเกิดผลเป็นรูปธรรมหรือเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างยั่งยืนเลย
ยก ตย. โครงการฟ้าใสไร้มลพิษใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ใช้งบประมาณกันบานเบอะ แต่ทำได้แค่จัดงานรณรงค์จังหวัดละ 1 วัน จัดคอนเสริตจังหวัดละครั้ง ทำกันพอเป็นพิธีหามีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องอันใดไม่
ซึ่งโครงการลักษณะมีให้เห็นมากมายดาษดื่นในชื่อ "ไทยเข้มแข็ง" ที่พอเอ่ยถึงก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นงานที่เน้นการประชาสัมพันธ์แต่ไม่ค่อยมีผลเป็นรูปธรรมจับต้องได้
เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีรักการพูดเป็นชีวิตจิตใจ
เข้าใจว่ารัฐบาลนี้ชอบละเลงงบประมาณมหาศาลไปกับการ ปชส.ตัวเอง ดังที่เราเพิ่งเห็นกรณี 69 ล้านของกระทรวงการคลังไปหลัด ๆ
แต่สำหรับนโยบายเพื่อประชาชนที่จะทำเป็นชิ้นเป็นอันก็ยังทำได้เป็นเบี้ยหัวแตกแหลกเละไร้สาระแบบนี้ ชวนให้นึกว่าผีมิยาซาว่าแพลนที่ดับอนาถตามมาหลอกหลอน (ดับอนาถไปแบบเดียวกับต้นกล้าอาชีพนั่นไง)
เข้าใจว่า คุณกรณ์ กับ คุณอภิสิทธิ์ เป็นคุณหนูมาทั้งชีวิต ชินกับการคิดแบบบนลงล่าง อาจจะไม่เข้าใจว่าความทุกข์ยากลำบากของประชาชนเป็นอย่างไร ความต้องการที่แท้จริงของเขาคืออะไร
ถ้ารัฐบาลนี้ทำไม่ทำวิจัย วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของประชาชนไม่ได้ก็ต่อยอดนโยบายเดิม ๆ ก็ได้ อาทิ กองทุนหมู่บ้าน , หนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล , สามสิบบาทรักษาทุกโรค ฯลฯ สิ่งเป็นประโยชน์เหล่านี้ทำให้มันดี รักษามาตรฐานและทำให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นไม่ต้องกลัวขายหน้า มีแต่คนเขาจะสรรเสริญ
ดีกว่ามาใช้ประชานิยมสิ้นคิดและทุ่มงบไปกับการประชาสัมพันธ์ตัวเองจนเป็น" รัฐบาลขวัญใจออกาไนเซอร์" เช่นนี้
--------------------------------------------------------------------------
เพิ่มเติมนอกประเด็น : (ขอขี่ม้าเลียบค่ายมองสถานการณ์การเมืองปัจจุบันเสียหน่อย ปกติแล้วถ้าเรื่องที่ไม่มีรายละเอียดมาก ก็มักจะสอดแทรกแสดง คห.ไว้กับกระทู้ของท่านอื่นเป็น คห.ย่อย แต่เมื่อระบบของพันทิปปัจจุบันไม่อำนวยให้ทำเช่นนั้น ก็คงต้องแสดง คห.รวมไว้ในกระทู้เดียวเช่นนี้)
--- อยากจะมอบรางวัลอันทรงเกียรติให้กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย นั่นก็คือรางวัล สาก-กะ-เบือ ทองคำ ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับท่านที่สุด
ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก็มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรอิสระ แต่กลับไม่สนใจที่จะทำความจริงให้ปรากฏกรณีมีผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม ไม่สนใจหาข้อมูลหรือเทคแอคชั่นใด ๆ ทั้งสิ้น เสียแรงที่ประธานเป็นที่เคารพนับถือมาเนิ่นนานจนมีคนเรียกอาจารย์ย่าอาจารย์ยายแต่กลับทำตัวเป็นหัวหลักหัวตอ จนคนระเห็จไปหาองค์กรสิทธิ์ฯ ของต่างประเทศให้เขาข้ามหน้าเอาได้
ดังนั้นรางวัลนี้จึงเหมาะกับท่านอย่างยิ่งเพราะ สาก-กะ-เบือ แทนภาพของความนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวและไร้ศักยภาพได้อย่างดี ส่วนที่ต้องเป็น ทองคำ ก็เพื่อให้สมเกียรติกับบรรดาศักดิ์และเงินเดือนที่ท่านได้รับนั่นเอง
--- น่าสังเกตว่าการชุมนุมของพันธมิตร
ทั้ง ๆ ที่เป็นการเรียกชุนนุมใหญ่มีการตีฆ้องร้องป่าวล่วงหน้าเป็นเดือน ยังระดมได้เต็มที่ประมาณ 5,000 คน ในจำนวนนี้เป็นพวกสันติอโศกเสียครึ่งหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สื่อของพันธมิตรพยายามอย่างยิ่งที่ตอกลิ่มรวมถึงดิสเครดิตภาคประชาชนที่อยู่ตรงข้ามว่าจุดไม่ติดฝ่อตัวต่าง ๆ นานา แต่ไฉนพันธมิตรจึงไม่มีปัญญาประเมินตนเอง
ภาพการชุมนุมของพันธมิตรในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นศักยภาพและแนวโน้มในอนาคตได้เป็นอย่างดี คำพูดที่ว่าการตั้งพรรคการเมืองใหม่เป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ พธม. หรือ ถ้าพันธมิตรไม่อิงแอบกับประชาธิปัตย์ก็ไม่มีน้ำยานั้น ช่างเป็นคำพูดที่ชัดเจนเสียนี่กระไร
เห็นอาการแถกเหงือกเฮือกสุดท้ายของบรรดาแกนนำที่พยายามจะเรียกกระแสให้กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ก็ได้แต่รำพึงในใจว่า เฮ้อออ .. จบแล้วมั๊งพันธมิตร
--- เรี่องสุดท้าย กรณีคุณอภิสิทธิ์ออกชี้แจงเรื่อง 7 คนไทยและเขตแดนทางทีวี
ต้องขอบอกก่อนว่าการที่คุณอภิสิทธิ์ออกทีวีชี้แจงนั้นก็ถือเป็นหน้าที่และเป็นสิ่งที่พึงกระทำอยู่
แต่ทีนี้จังหวะมันไม่ให้ เพราะออกมาชี้แจงเป็นคุ้งเป็นแควหลังจากที่กัมพูชาปล่อยตัวคนไทยเรียบร้อยแล้ว โดยที่ก่อนหน้านี้ตอนเหตุการณ์กำลังร้อนแรงรัฐบาลนิ่งเงียบปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชาไล่ถลุงเอาฝ่ายเดียว มิหนำซ้ำยังมีข่าวออกมาถึงการวิ่งเต้นง้องอนประนีนอมกับรัฐบาลกัมพูชา
ดังนั้นการชี้แจงของนายกฯ ถึงแม้ว่าอาจจะชี้แจงได้มีหลักการ แต่โดยจังหวะและช่วงเวลาแล้ว ยิ่งขับเน้นสภาพของการตกเป็นรองและการถูกถือไพ่ที่เหนือกว่าในเวทีต่างประเทศ เพราะในเวทีนานาชาติใครก็ย่อมจะมองออกว่าที่นายอภิสิทธิ์กล้าพูดเสียงแข็งได้แบบนี้เพราะ ส.ส ของตัวถูกปล่อยออกมาแล้วนั่นเอง ซึ่งนั่นเป็นภาพที่ค่อนข้างตลกเอาการ (ที่วิจารณ์มิได้ตั้งป้อมจะโจมตี แต่อยากจะชี้ให้เห็นภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น)
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 54 09:28:17
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 54 09:18:22
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 54 01:45:25