เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันส่งผลต่อเนื่องมาจากเรื่องของวันวาน สิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้รับก็เกิดจากผลกรรมที่ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า

อภิสิทธิ์สมคบพันธมิตรขึ้นมาใหญ่ก็ถูกพันธมิตรแว้งกัดในเวลาอันไม่นานเพียงเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว

อภิสิทธิ์พึ่งใบบุญการรัฐประหาร จึงส่งผลให้ตกอยู่ภายใต้การคุ้มกะลาจากบาทาท๊อปบู๊ทไม่สิ้นสุด

อภิสิทธิ์เล่นเกมส์ช่วงชิงอำนาจโดยดึงกลุ่ม ส.ส งูเห่าและผลักดันการเมืองให้กลับเข้าสู่การต่อรองแบบเดิม ๆ วันนี้จึงต้องตกเป็นเบี้ยล่างของพรรคร่วม มองดูคนโกงตาปริบ ๆ โดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้

อภิสิทธิ์กระเหี้ยนกระหือรือสั่งสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย วันนี้เขาต้องเดือดร้อนนอนทุกข์ไปไหนมาไหนต้องใช้คนคุ้มกันเป็นพัน ไม่รู้เมื่อไหร่จะถูกตามทวงวิญญาณ

และ

อภิสิทธิ์เพียงเพราะต้องการล้มล้างทางการเมือง กลับเลือกเล่นประเด็นระหว่างประเทศอันละเอียดอ่อน ส่งผลให้ประเทศพลิกสถานะทางการทูตมาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และเกิดความเดือดร้อนจากไฟสงครามอย่างที่เป็นอยู่

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เพราะต้องการชี้ให้เห็น เหตุ ผล ปัจจัย ของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่เมื่อเรื่องล่วงเลยและถลำมาถึงขั้นนี้ เกิดสงครามรบพุ่งกันขึ้น สิ่งที่เราต้องทำคือพักวางเรื่องความขัดแย้งเอาไว้ก่อน ตั้งสติ และหาแนวทางแก้ไขที่ถูกต้อง

ทิศทางแก้ไขปัญหาในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง ขอเรียกร้องให้เราป้องกันศักดิ์ศรีของประเทศให้เต็มที่ ขณะเดียวกันต้องเร่งเจรจาทางการทูตเพื่อยุติสงคราม อย่าบ้าไปตามแรงยุของพันธมิตร หรือกลัวเสียศรัทธาแม่ยก พ่อยก ที่กระดิกตีนแดง ๆ ยุยงอยู่ในกรุงโดยที่ไม่สำเหนียกถึงความสูญเสีย อย่าถลำถึงขั้นซ้ำรอยสงครามร่มเกล้าที่สูญเสียทหารเป็นกองพล โดยผลสุดท้ายก็ไม่มีใครได้พื้นที่นั้นมาอยู่ดี

ขอเรียกร้องให้สื่อทุกสื่องดนำเสนอและขยายผลการข้อเสนอหรือการเคลื่อนไหวที่ปลุกระดมยั่วยุของพันธมิตรเพื่อหยุดหยั้งลัทธิคลั่งชาติแบบไร้สติ เพราะเท่าที่ผ่านมาประเทศก็ยับเยินเกินพอแล้วจากน้ำมือของคนกลุ่มนี้ (ซึ่งรวมไปถึงการพยามยามเอาใจและตอบสนองความต้องการแบบปัญญาอ่อนจากรัฐบาลนี้เช่นกัน)

ขอเรียกร้องให้เกิดความพยายามในทุกทางที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาและวิถีทางการการทูต

ซึ่งจากประวัติศาสตร์นั้นการทูตของไทยนั้นเหนือชั้นและเป็นที่ยกย่องตลอดมา เพิ่งมาปัจจุบันนี้เองที่การทูตของเราตกต่ำถึงขีดสุด

ยก ตย.ในอดีต

--- ในอดีตที่ไทยรับมือกับญี่ปุ่นและฝ่ายสัมพันธมิตรจนพาประเทศผ่านพ้นมาได้โดยไม่ประสบความเสียใหญ่หลวงเหมือนนานกิงและประเทศอื่น ๆ เพราะชั้นเชิงทางการทูตของผู้นำสมัยนั้น

--- การรักษาสมดุลย์ระหว่างประเทศในเวทีโลกด้วยการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน

--- การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าอันนำมาซึ่งการยกย่องจากนานาชาติในเวทีโลก

--- หรือเมื่อครั้งเกิดวิกฤตการณ์ที่เวียดนามเตรียมยกบุกไทย ตอนนั้นฟามวันดงแม่ทัพเวียดนามแค้นไทยมาก เพราะไทยเป็นฐานทัพให้อเมริกาใช้ถล่มเวียดนาม ไม่นับทหารรับจ้างของไทยที่ไปร่วมถล่มเวียดกง เรียกว่าถ้าเวียดนามบุกได้ตอนนั้นไทยต้องเละแน่ แต่ด้วยฝีมือทางทูตและการวิ่งเต้นในหลายทาง รวมทั้งการเจรจากับจีนจึงเกิดสงครามสั่งสอน 16 วันเกิดขึ้น (มีเกร็ดเล่าว่ารัฐมนตรีช่วยต่างประเทศของจีนคนหนึ่งเสนอว่า ควรช่วยเหลือไทย แต่ให้ช่วยเหลือเมื่อไทยถูกเวียดนามถล่มยับแล้วเพื่อไทยจะได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนต่อไป แต่เติ้งเสี่ยวผิงในตอนนั้นทัดทานและให้ความเห็นว่า "ช่วยมิตรควรช่วยให้ทันการณ์" สงครามครั้งนั้นประมาณว่าจีนสูญเสียทหารถึง 26,000 คน เวียดนามสูญเสียทหารถึง 37,000 คน)

เหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวอย่างการแก้ปัญหาที่ประสบผลสำเร็จด้วยวิธีการทูต

และในเหตุการณ์ปัจจุบันแม้ประเมินกันว่าไทยมีแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่ากัมพูชา แต่เพื่อลดการสูญเสียและไม่ให้เหตุการณ์บานปลาย รวมถึงความสงบสุขของประชาชนและผลกระทบในระยะยาว (เพราะเราไม่สามารถย้ายประเทศหนีกันได้) จึงต้องเร่งใช้การทูตควบคู่ไปกับการทหาร โดยพยายามใช้ช่องทางการเจรจาทุกช่องทางเพื่อยุติปัญหา

ดังนั้น ณ.คาบนี้เราควรส่งใจไปช่วยเหตุการณ์ทางชายแดน พร้อมกับร่วมกันเรียกร้องและให้สติเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาในแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพโดยเร็ว

แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 54 01:15:02