 |
เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่ผ่านมาเขาทำกันอย่างไร??
|
 |
สัมภาษณ์พิเศษ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” อดีตประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี 2 สมัย คือ รัฐบาล พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ และ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
อะไรเป็นแรงจูงใจของการทำหนังสือ “จัตุรัส” ในอดีต
ผมอยากปลดปล่อย (unfreeze) ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ ซึ่งถูกแช่แข็ง (freeze) โดยการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส (french colonialism) และตามด้วยยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของสหรัฐ (US strategic will) ในภูมิภาค
ความสัมพันธ์ของเรากับลาว เขมร เวียดนาม ถูกตีความผ่านมหาอำนาจของโลก ดังนั้นการแกะ puzzle แรกของภูมิภาค ก็ต้องทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่ไม่มีสงครามระหว่างกัน
คุณพันศักดิ์มีบทบาทอะไรบ้างในนโยบาย “แปรสนามรบเป็นสนามการค้า” ในสมัยรัฐบาลคุณชาติชาย
ช่วยคิด ช่วยอธิบาย ช่วยบอกท่านว่าความหมายของมันคืออะไรบ้าง
ผมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าผมเป็นคนให้คำปรึกษา แต่คนที่รับความเสี่ยง (Take risk) จริงๆ คือคนที่รับคำปรึกษาไปทำ เพราะฉะนั้นความดีต้องยกให้คนตัดสินใจ ดังนั้นอย่ามาพูดถึงผมมาก
คิดว่าทำไมรัฐบาลที่เคยให้คำปรึกษา จึงถูกรัฐประหารถึง 2 ครั้ง เป็นเพราะคุณพันศักดิ์ไปทำงานที่คุกคามใครเข้าหรือเปล่า?
คุณชาติชายให้ผมเข้าไปในฮานอยตอนที่ B52 กำลังบอมบ์อยู่ ผมไปคุยกับเวียดนามว่าคนไทยอยากสานเสวนาด้วย ในช่วงที่อเมริกันกำลังถอนตัวจากเวียดนาม งานของผมคุกคามประเทศไทยตรงไหน งานของผมทำให้ธนาคารทหารไทยสามารถเปิดสาขาที่ไซ่ง่อนได้ตอนที่สงครามเลิก มันคุกคามตรงไหน คงไม่ใช่ผมมั้ง
ผมว่าที่เค้ามีปัญหากัน มันเป็นเรื่องทัศนคติของอำนาจ (Perception of power) มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลย
รัฐประหารเมืองไทย ผมสองในเท่าไรนะ สิบกว่า? คุณก็ต้องไปถามคนอื่นด้วยนะ ไปถามเขาด้วยว่าทำอะไรถึงโดน
ถ้าผมไม่ถูกรัฐประหารสิ น่าสนใจมากเลย คนที่เคยครองอำนาจอยู่ มีความเป็นเหตุเป็นผล (get rational) และเข้าใจอนาคต ผมโดนรัฐประหารก็หมายความว่า it stays the same ก็เท่านั้น
มันเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของสังคมไทยด้วยหรือเปล่า
หรือว่าอาจมีคนบางกลุ่มเห็นว่า “ความชัดเจนในการมองอนาคต” ที่ผมให้คำแนะนำไป มันคุกคามเขาด้วย นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผมเหมือนกัน
หรือว่าสังคมไทยต้องการให้ผู้คนกระแดะปริญญาโท ปริญญาเอกกัน โดยให้ปริญญาโท ปริญญาเอก เป็น ”หน้าตา” ของคนไทย แต่ไม่อยากให้มีความเข้าใจในเนื้อหา ก็เท่านั้น
ระบอบการปกครองในอุดมคติของคุณพันศักดิ์
ระบบอะไรก็ได้ที่คุณอยากจะเป็น แต่ต้องคิดให้ทะลุว่าระบบนั้นสามารถสร้างมูลค่า (value creation) ให้กับสังคมได้หรือไม่ สร้างส่วนเกิน (surplus) มาชดเชยกับสิ่งที่คุณเรียกว่าพันธะทางศีลธรรม (moral obligation) ของรัฐได้หรือไม่ และถ้าได้ก็มีคำถามต่อไปว่า “at what cost?”
ที่ผมเสนอประชาธิปไตยก็เพราะว่าต้นทุน (cost) มันน้อยที่สุด
ประชาธิปไตยหมายความว่ามีต้นทุนในการคัดเลือกสิ่งที่เป็นมูลค่าต่ำ (Low cost selection of value) และ cost นั้นถูกผลักไปที่ประชาชน ไม่ใช่ที่รัฐ ความล้มเหลวทางการเมือง (political failure) จะทำให้เกิดต้นทุนไปยังสมาชิกของพรรคการเมืองที่เลือกตั้งแพ้ ไม่ใช่เกิดต้นทุนไปยังรัฐ
ประชาชนจะตอบสนองต่อนโยบายที่ผิดพลาด (Policy failure) โดยการเตะนักการเมืองออกไป ตัวอย่างก็อย่างพรรคแรงงานของอังกฤษ อยู่มาตั้งสองสามสมัย โดนเตะออกไปโดยคนที่เคยเลือกพรรคนี้เอง
(ขออนุญาตเสริมความตรงนี้ โดยความคิดของตัวเอง ไม่อยู่ในบทความต้นฉบับนะคะ คือ คุณพันศักดิ์ เคยพูดเสมอว่า ระบอบประชาธิปไตยที่ดีคือ หลักกฎหมายต้องนิ่ง รัฐธรรมนูญต้องนิ่ง เห็นได้จาก รัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เป็นรัฐบธรรมนูญที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา เพราะประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินและให้รางวัลกับนักการเมือง รัฐธรรมนูญปี 40 ทำให้เกิดเสถียรภาพในการบริหารประเทศ ทำให้ สส. ไม่ขายตัว ซึ่งหากพรรคการเมืองใดสามารถบริหารตามนโยบายที่เคยได้หาเสียงไว้ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองว่า พรรคไหนจะอยู่หรือพรรคใดจะไป)
ประเทศไทยควรวางตัวอย่างไรในภูมิภาคเอเชีย
เราจะเป็นตัวกลาง เมืองไทยควรหัดทำตัวเป็นเลบานอน ในสมัยก่อนที่จะฆ่ากันในยุค 1960s
เลบานอนคืออะไร? คือผู้ดี เป็นที่ที่อาหาร ผลไม้อร่อย วัฒนธรรมเมดิเตอร์เรเนียนสุดยอด เป็นที่ที่อาหรับกับยิวมา “เกี๊ยะเซียะ” กัน ขายของกัน เป็นที่ที่ทุกคนเอาเงินมาฝาก ธนาคารของเลบานอนครั้งหนึ่งเคยมั่งคั่งมาก ถือเป็นกลุ่มประเทศอาหรับที่เคยรวย
เราต้องทำตัวเป็นเลบานอนในสมัยนั้น ให้ความสะดวกทั้งญี่ปุ่นและจีน มาบริหารทรัพย์สินของตัวเองได้อย่างสงบสุขในประเทศไทย แล้วเราก็เกาะทั้งถนนและทางรถไฟ เอามาช่วยสร้าง Domestic growth ของเราเองด้วย เป็นหนทางในการสร้างการเติบโตในประเทศ
แต่เราต้องนิ่ง นิ่งกับเพื่อนบ้านให้หมด อย่าแสดงความคลั่งชาติ เพื่อนบ้านก็อย่าคลั่งชาติ เราก็ไม่คลั่งชาติ ทั้งเวียดนาม ไทย ลาว เขมร
มีมุมมองต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง
เราต้องยอมให้ประชาชนมี “สิทธิ์ที่จะเสี่ยงและเสียภาษี” เพิ่มขึ้น เราต้องเสริมพลังในการจ่ายภาษีให้ประชาชน
ถ้าเรารีดภาษีเงินได้นิติบุคคล 30% จากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ซีพี ปูนซีเมนต์ไทย ฯลฯ เพียงอย่างเดียว จะมีบริษัทระดับนี้อยู่สักกี่รายกันเชียวในเมืองไทย ประเทศเพื่อนบ้านเรารีดภาษีนิติบุคคลน้อยกว่าเราตั้งเยอะ คุณคิดว่าถ้าทำแบบนี้เราจะไปไหวเหรอ? ก็ต้องรีดจากไพร่ใช่มั้ย
ทีนี้จะรีดจากไพร่ได้ยังไง มีทางเดียวคือต้องเพิ่มพลังในการเสียภาษีให้กับไพร่ จะได้สามารถลดภาษีของบริษัทลงได้
เราชอบพูดกันนักว่าตลาดต่างประเทศวูบวาบ เราต้องสร้างการบริโภคในประเทศ (Domestic growth) ไหนบอกหน่อยสิว่าทำไง ไม่เห็นมีใครพูดว่าจะสร้าง domestic growth ได้ยังไง
การที่ผมให้ไพร่มีศักดิ์ศรี (Dignity) ในชีวิต คุณไม่เรียกนั่นเป็นคุณธรรมสูงสุดเหรอ??
การสร้างมูลค่า (Value creation) เป็นสิ่งที่ต้องทำตั้งแต่ระดับจุลภาค (micro) ขึ้นไปจนบนสุด รัฐมีหน้าที่เตรียมเครื่องมือ (facilitate) ให้กับการสร้างมูลค่า รัฐไม่มีหน้าที่ดูถูกดูหมิ่นไพร่ หน้าที่ของรัฐคือเตรียมโครงสร้างให้เกิดปริมาณภาษีทั้งหมดที่เพียงพอ (volume collection of tax)
พูดถึงรถไฟที่เชื่อมอาเซียนในแนวดิ่งไปแล้ว มองถนนของญี่ปุ่นที่จะเชื่อมอาเซียนในแนวขวางอย่างไร
ญี่ปุ่นใช้กระบวนการให้ทุนผ่านองค์กรต่างๆ เช่น อาเซียน เอเปก เพื่อเอาเงินมาสร้างถนนวิ่งไปยังทวาย เพื่อเชื่อมทางทะเลไปยังมาดราส (เมืองเชนไนในอินเดีย) ญี่ปุ่นเขาบอกว่าเมืองไทยจะเอายังไงกับถนนก็เอาเสียทีเถอะ
ตอนนี้ญี่ปุ่นหิ้วเศรษฐกิจไทยอยู่ คุณรู้ใช่ไหม ถ้าเราถือว่า GDP ของเรา 65% มาจากการส่งออก ใน 65% นี่คุณคิดว่าเกิดจากบริษัทขนาดใหญ่ที่สุด 1,000 บริษัทของญี่ปุ่นสักเท่าไร หมายความว่ารายได้ของข้าราชการไทยถูกหิ้วโดยเพื่อนญี่ปุ่นของผมนะ ชีวิตคุณจะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เหรอ
อีกหน่อยถ้าเราส่งออกไปเมืองจีน คิดเป็น 30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ถ้าเกิดเรามีปัญหากับจีน การส่งออกลดลง อาจจะสัก 10% พอ คุณยุ่งไหม ดังนั้นตรงนี้ต้องเอาการบริโภคในประเทศมาสร้างสมดุล
รัฐจึงมีหน้าที่ต้องสร้างการลงทุนที่จะก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าภายใน ประเทศ และนี่เป็นนโยบายด้านความมั่นคงที่สำคัญของประเทศ ไม่ใช่นโยบายด้านเศรษฐกิจนะ เป็นนโยบายด้านความมั่นคง (security policy)
กลับมาที่นโยบายในสมัยทักษิณบ้าง นโยบายอย่าง “ประชานิยม” ถูกวิจารณ์มากว่าทำให้คนเป็นหนี้ มีคำอธิบายต่อเรื่องนี้อย่างไรครับ
ผมพูดเมื่อสิบกว่าปีก่อนว่า ผมอยากให้ชาวไร่ชาวนาไทยมีความสามารถในการเป็นหนี้อย่างมีคุณภาพ (ability to have quality debt) แหม โกรธผมกันใหญ่ หาว่าผมทารุณโหดร้ายกับชาวไร่ชาวนา อยากให้ชาวไร่ชาวนามีหนี้
ถามหน่อยในทางเศรษฐศาสตร์ว่าถ้าทุกคนไม่มีหนี้ ไม่มีผลผลิตส่วนเกิน (surplus) จะเกิดอะไรขึ้น
มีเคล็ดลับอะไรบ้างในการคิดนโยบายที่โดนใจประชาชนเป็นอย่างมาก
เอาง่ายๆ นโยบายปกติที่มาจากสภาพัฒน์ (NESDB) มันเป็นนโยบายที่มหภาคมาก ประชาชนก็เบื่อ เราก็รู้ว่าคนเบื่อ และในขณะที่คนมีพัฒนาการตลอดเวลา แต่กลับถูกกีดกัน (alienate) จากนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นเราต้องเข้าไปสัมผัสสิ่งที่เขาทำ (function) และหวัง (hope) อยู่ในชีวิต ที่ผ่านมาเราได้แต่สร้างความหวังระดับมหภาคมากๆ (super macro hope) มันเลี่ยน คนก็เบื่อ คนต้องการสิ่งที่จับต้องได้ เป็นรูปธรรม อันนี้คุณทักษิณก็รู้ ยิ่งไปต่างจังหวัดยิ่งชัด
เราก็แค่ทำนโยบายออกมาให้ตรงกับสิ่งที่เขาทำอยู่และหวังอยู่ ให้เป็นรูปธรรม และต้องสามารถอธิบายได้ในทางการเงินการคลัง
คิดจะกลับสู่วงการการเมืองอีกเหรือเปล่า?
มีคนถามผมว่าจะกลับไปวงการเมืองอีกไหม ไม่แล้ว เหตุผลว่าไม่แล้วเพราะอะไร? ก็ให้พวกคุณเนี่ย เมืองไทย Next Generation, Go on Man! ไม่งั้น “ตาแก่คนนี้เอาอีกแล้ว”
===================================== หลังๆ มานี่ แปะอะไรไปก็โดนลบหมด คำกรองมั่งล่ะ เว็บกรองมั่งล่ะ เลยเบื่อ
เอเป็นว่าวันนี้ ตัดตอน มาแปะให้อ่านกัน ดีใจด้วยที่เริ่มสงบแล้วกับสงครามชายแดน
เฮ้อ คุณอภิสิทธิ์คะ ดิฉันก็เห็นคุณลอกนโยบายของคุณทักษิณมาเกือบหมด แล้วทำไม นโยบายการต่างประเทศกับวิธีการทำงานนี่ คุณไม่คิดจะลอกมาบ้างล่ะค่ะ? เข้าใจค่า วิธีคิด และตรรกะ กับภาวะผู้นำนี่ จะเลียนแบบคงยาก เพราะมันอยู่ที่กึ๋นและประสบการณ์...แต่อย่างน้อย นโยบาย เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้านี่ เขาทำกันมาหลายสมัยแล้ว...จะทำตามเขาบ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกค่ะ...
ชาวบ้านแถบนั้นเขาพูดกันว่า อยู่มาเกือบ 50 ปี ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนเลย.. ร้ายแรงที่สุด!
น่าภูมิใจชะมัด -_-‘
เนื้อหาด้านบน ดิฉันนำมาจากเว็บ สยามอินเทลลิเจนซ์ดอทคอมนะคะ ตัดตอนมาบางช่วง และเพิ่มเติมความเห็นของดิฉันลงไปในบางช่วงด้วย เพราะคิดว่าบางอันอาจจะยากไป...
เอาสิเอา โพสต์วันนี้ไม่ผ่านให้มันรู้ไป
จากคุณ |
:
SassyKate
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ก.พ. 54 18:55:52
A:202.47.224.130 X:
|
|
|
|  |