Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
(เรื่องสั้นการเมือง) วันสุดท้ายของครูผู้สอนให้รู้จักอุดมการณ์ ติดต่อทีมงาน

     พวกหรีดดอกไม้สดแขวนเรียงกันไว้บนผ้าม่านหนาสีแดงเลือดนกบนศาลาวัด ซึ่งจัดเป็นที่ตั้งงานศพ มีทั้งดอกกุหลาบสีแดง กุหลาบสีขาว ดอกหน้าวัวและดอกดาวเรืองสีเหลืองแจ่มกระจ่าง โลงศพสีดำเนื้อมุกมีลวดลายสีทองเป็นมันวาว ด้านขวามีรูปภาพของผู้ตายอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ยิ้มสดใสผมขาวโพลนตามวัยเจ็ดสิบปี เขาคือครู แสวง ครูที่ใจดีและคอยประสิทธิประสาทวิชาให้กับเด็กในหมู่บ้านนี้ หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนาม ครูสี........ เพราะหลังเกษียณอายุราชการ ครูแสวงได้เป็นตัวตั้งตัวตีเป็นแกนนำระดับจังหวัด ให้กับกลุ่มก้อนทางการเมืองสีหนึ่ง

     เสียงมโหรีปี่พาทย์ที่ดังจากลำโพงรอบด้าน เป็นพัฒนาการของการจัดงานในยุค วงมโฬรีจริงกลายเป็นสิ่งที่หายากเข้าไปทุกที แม้แต่ในจังหวัดชนบทแบบนี้ก็ตาม แต่เสียงจากแผ่นซีดีที่เปิดผ่านเครื่องขยายเสียง ก็ชวนให้เศร้าสร้อยตามบรรยากาศของงานที่จัดขึ้นเพราะการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก คนที่มาร่วมงานต่างแยกย้ายกัน นั่งบ้างยืนบ้างจับกลุ่มสนทนากันในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่จากไป

     แต่ล่ะคนมีสีหน้าซึมเศร้า แววตาบ่งบอกได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ บางคนควบคุมตัวเองไม่อยู่ น้ำตารินไหลเมื่อยามไปจุดธูปไหว้ ขอขมาเป็นครั้งสุดท้ายต่อหน้าโลงศพ หยาดน้ำตาไม่รู้กี่หยดแล้ว จากใครหลายคนที่รินหลั่งบนหนอมรองไหว้สีเหลืองใบนั้น

     กลิ่นควันธูปที่ลอยอ้อยอิ่งจากกระถางธูป เตือนให้ใครบางคนต้องทำหน้าที่เปลี่ยนกระถางธูปใหม่ เพราะกระถางธูปใบเก่า อัดแน่นไปด้วยก้านธูปที่ไหม้หมดไปแค่ไม่ถึงครึ่งดอก บ่งบอกได้ถึงจำนวนคนที่มาร่วมไว้อาลัยให้กับผู้ที่จากไปในครั้งสุดท้าย

     งานเริ่มตั้งแต่ยังไม่ค่ำ แต่คนก็มีมาเป็นระยะไม่ขาดสาย ญาติๆผู้ตายซึ่งรับหน้าที่เจ้าภาพก็สาละวนกับการดูแลแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน น้ำท่าถูกจ่ายแจกไปให้กับทุกคนที่มาร่วมงาน น้ำฝนกับน้ำแข็ง 2-3 ก้อนในแก้ว มันไม่ได้เป็นสิ่งตอบแทนที่มีราคาค่างวดอะไร เพียงแค่เป็นสิ่งตอบแทนต่อน้ำใจ ของคนที่ยังระลึกถึงผู้ที่จากไป

     2 ทุ่มแล้ว พระสงฆ์สี่รูปเดินเข้ามาในโถงศาลาวัด เดินขึ้นไปนั่งบนชานไม้ยกสูงจากระดับพื้นศาลา แขกที่มาร่วมงานต่างแยกย้ายจากการจับกลุ่มสนทนา พากันนั่งประจำที่ ศักดิ์ยกมือขึ้นพนม ดวงตามีแววสงบแต่ลึกๆ แล้วเขารู้ว่ามันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายอย่างที่เขาเองก็ยังไม่สามารถแยกได้ว่าความรู้สึกเช่นนั้นคืออะไร รู้แต่ว่ามันกำลังคุกคามความสงบที่เคยมีอยู่ทุกวินาที

     ศักดิ์ไม่ได้ร้องให้เลยสักนิดเมื่อมรณกรรมของคุณครูมาถึง ความเสียใจถูกเก็บกักไว้ในส่วนลึกใครๆ ก็ว่าเขาเป็นคนเข้มแข็ง มีเพียงอาการขมวดคิ้วและเม้มริมฝีปากเท่านั้น น้ำตาของเขาที่มีเอ่อขึ้นมาบ้างในบางครั้ง แต่ก็ไม่เคยไหลรินออกจากดวงตา เพราะมันได้ไหลกลับลงไปขังอยู่ในบ่อที่ลึกที่สุดของหัวใจ บ่อซึ่งเก็บกักความเศร้าโศกเสียใจไว้

     เสียงสวดภาษาบาลีที่ภิกษุสงฆ์ท่องสวดพร้อมกัน เป็นจังหวะทำนอง ดังแววไปทั่วทั้งศาลา ทุกคนอยู่ในอาการสงบ มือที่ยกขึ้นพนมเสมออกของใครหลายๆคน สั่นสะท้านเบาๆ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้ว ที่จะมีการสวดอภิธรรม พรุ่งนี้ ร่างของบุคคลอันเป็นที่รักจะถูกนำไปฌาปนกิจที่เมรุ ไฟที่แผดเผาร่าง จนกลายเป็นควันจะนำวิญญาณของคนที่น่าเคารพนับถือผู้นี้ลอยขึ้นสู่สรวงสรรค์

     ไม่นานนักการสวดพระอภิธรรมก็จบสิ้น เจ้าภาพจัดการประเคนจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ นิมนต์ท่านลงจากศาลาไป ศักดิ์ลุกขึ้นจากที่นั่ง และเดินเลี่ยงออกมาด้านนอก หลบเลี่ยงที่จะนั่งฟังกลุ่มคนอุดมการณ์เดียวกับครูแสวง ที่จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องทางการเมืองกันบนศาลาวัด เดินออกมาหามุมสงบโคนต้นปีบนอกศาลา นั่งอิงแอบเงาความมืดจ่อมจมอยู่ในอารมณ์คนเดียว

     30 ปีแล้วมั้ง ที่เขาได้รู้จักกับผู้มีพระคุณท่านนี้ ยังนึกภาพตัวเองร้องไห้กระจองอแงในวันแรกที่แม่จูงเขามาเรียนป.เกียมในภาษาของคนบ้านนอก หรือชั้นอนุบาลของคนกรุง ในโรงเรียนประจำหมู่บ้านได้ ครูแสวงนี่แหละเป็นคนเข้ามาจับตัวเขาที่กำลังดิ้นรนพยายามจะวิ่งตามแม่ ที่กำลังโบกมือลาแล้วเดินจากไป ยังจำนกกระสากระดาษตัวแรกที่ครูแสวงเอามาหลอกล่อให้เขาสนใจและหยุดร้องไห้ได้ดี

     วันนี้เขาอยากได้นกกระสากระดาษตัวนั้นอีกครั้ง เพราะน้ำตาในใจเขามันไหลหลั่งไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

     และเนื่องจากเป็นโรงเรียนบ้านนอกเล็กๆแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อ 30 ปีก่อน โรงเรียนวัดที่เขาเรียนนั้นจึงมีครูเพียง 7 คน ครูหนึ่งคนจึงต้องทำหน้าที่สอนหลายวิชาให้กับหลายชั้นเรียน ทุกชั้นเรียนมีนักเรียนตั้งแต่ ป.เกียมจนถึงป.6 รวมกันทั้งหมด 40 กว่าคนเป็นเด็กที่อยู่ในละแวกนั้นทั้งหมด ครูแสวงรับหน้าที่สอนวิชา ส.ป.ช เรียกอย่างเต็มยศว่า สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต

     ครูแสวงเป็นผู้ที่ทำให้เขารู้จักอวัยวะส่วนต่างของร่างกาย สอนให้รู้จักต้นไม้ใบหญ้า สอนให้รู้จักสัตว์เลี้ยงสัตว์ป่า สอนให้รู้จักศาสนาและวัฒณธรรม สอนให้รู้จักประเทศของเรา สอนให้เรียนประวัติความเป็นมาของชาติบ้านเมือง และอีกเยอะแยะมากมาย และเรื่องหนึ่งที่ยังจดจำฝั่งใจมาจนถึงทุกวันนี้ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

     ยังจำได้ดีในวันที่เขาได้รู้จักประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก ก็ตอนสมัย ป.5 ซึ่งครูแสวงจัดให้มีการเลือกตั้งหัวหน้าห้องขึ้นครั้งแรก ปกติแล้ว อีหวาน ลูกยายปริก เพื่อนร่วมชั้นของเขาทำหน้าที่นี่มาตลอดตั้งแต่ ป.1-ป.4 ซึ่งครูแสวงนั้นแหละที่เป็นคนแต่งตั้งให้ ก็แน่ล่ะ อีหวานมันเป็นเด็กโข่งเรียนซ้ำชั้นมา 2 ปี แถมตัวใหญ่ยังกับหมี:-) ตัวใหญ่กว่าเด็กผู้ชายเสียอีก มันคุมเพื่อนๆในห้องได้อยู่แล้ว ในสมัยเด็กๆเขายังไม่เข้าใจหน้าที่รับผิดชอบของหัวหน้าห้อง รู้เพียงแต่ว่าเป็นคนกล่าวนำทักทายสวัสดีคุณครูยามครูเข้ามาสอน และกล่าวนำอำลาคุณครูยามสอนเสร็จเท่านั้น และในระหว่างเปลี่ยนวิชา หัวหน้าห้องก็คอยทำหน้าที่ควบคุมดูแลเพื่อนๆในชั้นเรียนตอนคุณครูไม่อยู่ ให้ทำตัวเรียบร้อยเท่านั้น

     แต่ระบอบประชาธิปไตยจำต้องมีการขันอาสาเพื่อเข้าเป็นตัวแทนลงคัดเลือก ซึ่งครูแสวงเลือกคนขึ้นมาคนหนึ่งเป็นหลักไว้แล้ว และแน่นอน อีหวานในฐานะหัวหน้าห้องคนเก่า ก็ได้รับการเสนอชื่อจากครูแสวง ตอนนั้นเพื่อนร่วมชั้นของศักดิ์มีเพียงแค่ 6 คน ต่างมองหน้ากันไปมา เป็นผู้แข่งขันในระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกของเด็ก ป.5  นอกนั้นไม่มีใครกล้าเสนอตัวเองเลย อาจเป็นเพราะเกรงกลัวบารมีอีหวานกันจับใจ เพราะไม่รู้ว่าหากลงแข่งขันด้วยแล้วเกิดชนะขึ้นมา อีหวานจะผูกใจเจ็บตามมาเอาเรื่องที่หลังหรือเปล่า นึกถึงตอนนี้ ศักดิ์มีรอยยิ้มที่มุมปาก ตอนนั้นเขายอมรับเลยว่า กลัวอีหวานเอามากๆ

     จึงเดือดร้อนครูแสวงต้องทำหน้าที่กระตุ้นเตือนนักเรียนที่เหลือว่า “ประชาธิปไตยคือเสรีภาพในการแสดงความเห็น หากปล่อยให้ความกลัวหรืออำนาจใดมาครอบงำการตัดสินใจที่จะเลือกหรือแสดงออก จะใช่ประชาธิปไตยได้อย่างไร” สำหรับเด็กบ้านนอกที่วันๆเอาแต่ดีดลูกหินลูกแก้ว โดดหนังยางไปวันๆ คำกล่าวเหล่านี้อาจจะถูกต้อง แต่ก็เข้าใจได้ยากเกินไปสำหรับเด็ก เพราะคำพูดของครูแสวงไม่เป็นผลไม่มีใครอยากเสี่ยงตายลงแข่งขันกับอีหวานเลย

     ไม่รู้เป็นเคราะห์หามยามร้ายอะไรไม่ทราบ เพราะครูแสวงก็ตัดสินใจหยิบเขาขึ้นมาเป็นคู่แข่งขันกับอีหวาน และผลก็เป็นไปตามคาด เขาแพ้อีหวานแบบหลุดรุ่ย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังลงคะแนนเลือกอีหวานเป็นหัวหน้าห้องเหมือนกับเพื่อนคนอื่น ประชาธิปไตยครั้งแรกของเขาจึงเป็นแบบ “ลากตั้ง”ไม่ใช่ตัวแทนที่มาจากความยินยอมพร้อมใจของคนทั้งห้อง แต่จำต้องเลือกไปเพราะไม่กล้าขัดใจครูและเลือกแบบมีความกลัวครอบงำจิตใจ จึงจบไม่สวยงามนัก

     แต่ศักดิ์ก็สามารถสร้างควมทรงจำเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้สวยงามได้ เพราะเขาชนะเลิศประกวดเรียงความระดับจังหวัด ในหัวข้อ อุดมการณ์ประชาธิปไตยของฉัน ทำเอาครูแสวงยิ้มไม่ยอมหุบไปหลายวัน เป็นปลื้มและชื่นชมลูกศิทย์ที่สอนมากับมือ แต่เด็กก็คือเด็ก ยังไม่เข้าใจความหมายสิ่งที่ตัวเองเขียนอย่างถ่องแท้ แค่ศักดิ์เขียนตามแบบที่เขาคิด ซึ่งเป็นแนวคิดง่ายๆ สำหรับระบอบประชาธิปไตย คือการเคารพเสียงส่วนใหญ่เท่านั้นเอง

     “ดีมาก มีอุดมการณ์ ดีมาก” ครูแสวงพร่ำชมเมื่อได้อ่านเรียงความฉบับนั้นของเขา
     “จงยึดมั่นในอุดมการณ์แบบนี้ต่อไปนะ” คำเหล่านั้น กว่าเขาจะมาเข้าใจจริงๆได้ ก็ตอนโตเป็นผู้ใหญ่นี้แหละ
     “ทุกคนดูเอาไว้ ประชาธิปไตยที่ดี ต้องมีอุดมการณ์ แต่อุดมการณ์ของแต่ล่ะคน ใช่ว่าจะต้องเหมือนกันหมด เพราะประชาธิปไตยคือเสรีภาพ แต่ล่ะคนสามารถเลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องได้ จำไว้นะ นักเรียนทุกคน”
     “ครับ/ค่ะ”เพื่อนนักเรียนร่วมห้องรวมทั้งเขา รับคำครูแสวงอย่างพร้อมเพรียง

     เพราะอุดมการณ์นี่เองที่ทำให้ศักดิ์เกือบจะต้องสังเวยชีวิต ให้กับอุดมการณ์ประชาธิปไตยของเขาเมื่อตอนเหตุการณ์พฤษาทฬิม ปี 35 ความรุนแรงที่ครูแสวงไม่เคยได้สอนสั่ง ถาโถมเข้ากระหน่ำเขาอย่างบ้าคลั่ง จนเขาต้องหลบแอบซ่อนอยู่ใกล้ศพ ของผู้คนร่วมอุดมการณ์เดียวกับเขา นั่นสอนให้เขารู้จักโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในบทเรียนวิชา ส.ป.ช ที่ครูแสวงพร่ำสอน นั่นคือจุดเริ่มของความแตกต่างทางความคิด ที่ต่อมาแตกต่างกันชัดเจนในเรื่องทางการเมืองสำหรับเขากับครูผู้มีพระคุณ ความคิดแวบหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง โผล่ขึ้นมาในสมองของศักดิ์

     แม้ว่าเรียนจบชั้นประถมแล้ว ครูแสวงก็ใช่ว่าจะห่างหายไปจากชีวิตเขา เพราะแกก็มีพื้นเพอยู่ที่นี่ เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เหมือนกับคุณครูอีกหลายๆคนในโรงเรียน ที่หากไม่อยู่หมู่บ้านนี้ ก็อยู่ถัดออกไปอีกไม่กี่หมู่บ้าน ไกลสุดก็แค่อยู่ต่างอำเภอเท่านั้น ครูกับนักเรียนโรงเรียนแห่งนี้ จึงมีสายผูกพันกันไปตลอดไม่ว่าจะยังเรียนอยู่หรือไม่ก็ตาม และตัวเขาเองก็จัดได้ว่าสนิทสนมกับคุณครูท่านนี้เป็นพิเศษ มีการไปมาหาสู่กันเสมอ เขานับถือครูแสวงเหมือนญาติผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ต่างจากฝ่ายครูที่รักเขาเสมอเหมือนลูกหลาน

     มีแค่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเท่านั้น ที่เขากับคุณครูได้เหินห่างกันไปบ้าง ศักดิ์ จำได้ดี ในวันที่เขาเรียนจบปริญญาแล้วกลับมาเพื่อรับหน้าที่สืบทอดกิจการเล็กๆที่บ้าน ก็เป็นวันที่ครูแสวงเกษียณอายุราชการพอดี งานเลี้ยงส่งครูผู้ทำหน้าที่ดูแลสั่งสอนบุตรหลานของคนในหมู่บ้านถูกจัดขึ้น แม้จะใช้งบประมาณไม่มากจัดกันตามประสาคนบ้านนอกคอกนา แต่ดูใหญ่โตด้วยจำนวนคนที่เข้ามาร่วมงาน ครูทุกคนที่เคยสอนที่นี่ หากเกษียณอายุราชการได้รับเกียรติแบบนี้เสมอ

     ครูแสวงในวันที่ไม่มีงานประจำให้ทำ กับเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นชีวิตทำงานครั้งแรกก็โคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง กลับมาพร้อมกับความแตกต่างบางอย่าง จากประสบการณ์ตรงของศักดิ์

     และงานศพก็ไม่ต่างกัน คร่าคร่ำไปด้วยลูกศิทย์ลูกหามากมาย แต่ละคนต่างก็เศร้าโศกเสียใจ ที่ผู้มีพระคุณท่านนี้ได้จากไปแล้ว อีหวานซึ่งปัจจุบันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในกลุ่มแม่บ้านชุมชน ก็รับหน้าที่เป็นโต้โผใหญ่ควบคุมงานอยู่บนศาลา ส่วนตัวเขาก็ช่วยงานด้วยการทำหน้าที่ต้อนรับแขกมากกว่าเพราะเขาเองก็สนิทสนมกับญาติครูแสวง และญาติพี่น้องครูแสวงก็ไม่มีใครออกมาขัดศรัทธาลูกศิทย์ที่แยกย้ายแจกจ่ายหน้าที่กันแทนเจ้าภาพ ทำหน้าที่กตัญญูกตเวทีครั้งสุดท้ายเลย

     “เฮ้ย มานั่งทำไร มืดๆว่ะ ไอ้ศักดิ์”เสียงหนึ่งปลุกเขาจากภวังค์
     “มานั่งรอดักฉุดสาวๆ เอ็งเห็นสาวๆบ้างไหมวะ อีหวาน ข้าเห็นมีแต่หมี:-)”เขาตอบหยอกแรงๆกับเพื่อนวัยเด็ก ที่เดินเข้ามาสนทนาด้วย

     “แหม ไอ้นี้ วอนโดนส้นซะแล้ว...”อีหวานตอบกับมา ก่อนจะพากันหัวเราะร่วนเมื่อสบตากัน ตั้งแต่เริ่มงานมาเขาแทบไม่ได้สนทนากับเพื่อนเลย เพราะเห็นมันยุ่งๆ วุ่นวายกับการเป็น:-)าน แต่พอจะได้คุยกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆอยู่บ้าง

     “เอ็งรู้แล้วใช่ไหม ว่าพรุ่งนี้วันเผา พวกแกนนำที่กรุงเทพของกลุ่มที่ครูไปเข้าร่วม จะมาเป็นเจ้าภาพวันเผา”อีหวานเอ่ยถามลอยๆ สายตาจับจ้องขึ้นไปบนศาลา มองดูคนที่กำลังทยอยกันกลับ

     “เอ่อ รู้แล้ว ข้าก็ถึงกะว่าจะฝากซองให้เอ็งเอาไปให้เมียครูไง”

     “อ้าว ไอ้ ชิ...หาย สรุปรุ่นเราทั้งรุ่น กะจะไม่มีใครมาวันเผาเลยเรอะ”อีหวานสบถบ่น พร้อมบอกกับเขาว่า เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆก็ต่างฝากซองให้มันเก็บไว้ เตรียมเอาไปมอบให้ญาติครูแสวงพรุ่งนี้ ซึ่งมันเก็บมาครบแล้ว ขาดแต่เขาคนเดียว ซึ่งมันคิดว่าอาจจะไปร่วมงานพรุ่งนี้ด้วย

     “ก็เอ็งไง อีหวาน ในฐานะหัวหน้าห้อง เอ็งต้องไปเป็นตัวแทนเพื่อนๆในห้อง”ศักดิ์ควักซองช่วยงานที่เตรียมไว้ส่งให้อีหวาน และตอบอย่างที่เคยได้หารือกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ ซึ่งพร้อมเพรียงใจกัน จะไม่ไปงานวันเผาครูแสวงพรุ่งนี้ เนื่องด้วยแต่ล่ะคน ต่างรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์พฤติกรรมแกนนำกลุ่มนี้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาเองก็ทำใจไม่ได้หากว่าพรุ่งนี้ไปทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน แล้วต้องไปยกมือไหว้คนที่เขานึกรังเกียจ

     “กรรมเวรของข้า แต่ก็เอาเถอะ ข้ารับหน้าเองก็ได้”อีหวานรับซองของเขา ไปใส่ไว้ในกระเป๋าถือ ใส่ไว้รวมกับซองแบบเดียวกันอยู่ในนั้น 5-6 ซอง

     “เอ่อ แบบนี้สิหัวหน้าห้องของพวกเรา”เขาตบไหล่ตบหลังเพื่อนสาวอย่างพอใจ และคิดว่าตั้งแต่อีหวานเป็นหัวหน้าห้องของเขามา มีครั้งนี้แหละ ที่เขาเห็นว่ามันทำหน้าที่ได้เหมาะสมกับตำแหน่งที่สุด

     “แต่เอ็งอย่าไปเผลอยกมือไหว้ ไอ้พวกนั้นเข้าล่ะ เดี๋ยวมันจะมาชวนเอ็งเข้ากลุ่มด้วย”
     “จะด่าให้ล่ะสิไม่ว่า ถ้าขืนสอใส่เกือกมาชวนข้า...........ไอ้พวกที่ได้แต่คอยถ่วงความเจริญประเทศ”
อีหวานพึมพำตอบสายตาจับจ้องไปที่รูปครูแสวงที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพแล้วบอกกับเขาว่า

     “ไม่รู้ครู เขาคิดอะไรของเขาเนอะ ถึงได้ไปเชื่อคนพวกนั้น”
     “อย่าไปคิดแบบนั้นเลย เหมือนที่ครูเคยสอนเราตอนเด็กๆไง”
อีหวานพยักหน้ารับคำเขา เข้าใจในความหมายที่เพื่อนพูด ก่อนที่ทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไป

     “แล้วครู เขาจะเสียใจไหม ถ้าหากรู้ว่าพวกเราคิดไม่เหมือนเขา”เป็นคำถามที่ศักดิ์ได้แต่คิดในใจไม่ได้พูดออกมา ซึ่งคงไม่ต่างกับ อีหวานและเพื่อนๆคนอื่นๆที่คิดเช่นเดียวกัน แต่ไม่เคยมีใคร เปิดเผยความในใจออกมาให้ครูได้รู้เลย ว่าพวกตนคิดเห็นเช่นไรทางการเมือง พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่า เขาชื่นชมนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งครูของพวกเขาตั้งแง่รังเกียจ

     “ครูครับ จะผิดไหม ถ้าจะบอกครูว่า ผมชอบ.....”วันนี้ทุกคนก็คงได้แต่เก็บงำความรู้สึกในใจไว้ แต่หวังว่าดวงวิญญาณของผู้มีพระคุณอย่างครูแสวงจะเข้าใจ ในเหตุผลที่เขาเลือกที่จะคิดแบบนั้น

     พระคุณของครู ลูกศิทย์ทุกคนต่างจำใจไว้ไม่เคยลืมเลือน คำสอนของครูก็เช่นกัน มันไม่เคยจางหายไปจากเด็กชั้นประถมทุกคนเมื่อ 30 ปีก่อนเลยแม้แต่คนเดียว
     “ทุกๆคน มีสิทธิที่จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ตนคิดว่าถูกต้อง”
     และวันนี้ พวกเขาได้เลือกแล้ว 
     แม้จะต่างจากความเชื่อของครูผู้สอน ซึ่งสอนพวกเขามาก็ตาม

     คนที่เคยทำดี ต่อให้มีความต่างทางอุดมการณ์แค่ไหน ยังไงก็เป็นคนดี
     ผิดกับคนที่เป็นคนเลว ต่อให้มีอุดมการณ์ที่ดีแค่ไหน ยังไงก็เป็นคนเลว

+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+.+

     เรื่องนี้ผมขอแต่งเผื่อระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่เคยอบรมสั่งสอนผมมาในครั้งอดีต แต่งขึ้นจากเค้าโคลงเรื่องจริง ที่มิตรสหายทางการเมือง(คุณชายภีม)ของผมท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟัง ว่าตัวเขาและผู้มีพระคุณอย่างครูมีความเห็นไม่ตรงกันทางการเมือง แต่เขาไม่ได้บอกล่าวให้ผู้มีพระคุณรู้ แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยและคอยรับฟังเรื่องราวทางการเมืองจากครูอยู่ฝ่ายเดียว จวบจนกระทั่งถึงวันจากไปของครูผู้มีพระคุณ

     แต่ตัวละครบางตัวและเหตุการณ์บางอย่าง นำมาจากชีวิตจริงของตัวผมเอง อย่าง ครูแสวง ก็เป็นครูที่ได้สั่งสอนผมมาจริงๆในตอนที่ยังเรียนอยู่โรงเรียนประถม แถวบ้านที่สิงห์บุรี (ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ในปี 2549)

     อีหวาน ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผมจริงๆ และตอนสมัยเด็กผมก็กลัวมันมาก เพราะมันตัวใหญ่ 555+ ปัจจุบันนี้ มันทำหน้าที่ประธานกลุ่มแม่บ้านประจำหมู่บ้าน กลุ่มกิจกรรมหัตกรรมดอกไม้ประดิษฐเล็กๆแห่งหนึ่งในอำเภอ พรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

     ขอบ่นระบายสักนิด ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวผมเองชักไม่มีความสุขจากการติดตามการเมืองแล้ว เพราะอะไรหลายท่านคงทราบดี แต่เนื่องจากการเมืองในระบอบประชาธิปไตย มันยังจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งเราๆท่านๆไม่มีหน้าที่ตรงนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำได้ คือการแสดงความเห็นต่อเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นจากการกระทำของฝ่ายการเมือง แต่อย่างที่บอก ติดตามมากไป แสดงความเห็นเยอะไป ความสุขในชีวิตมันพลอยจะหดหายไปด้วย ต่อไปนี้ผมจึงตั้งใจว่า จะทำการแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างมีความสุขบ้าง เพื่อแก้เบื่อ ความสุขของผมก็คือ การที่ได้ทำอะไรที่รักที่ชอบ ซึ่งก็คือเขียนเรื่องราวตามจินตนาการ และการเขียนเรื่องสั้นก็ตอบโจทย์ความต้องการของผมได้พอดี

     ต่อไปนี้ผมจึงตั้งใจว่า อาทิตย์นึงจะมี 1 วันที่ผมจะได้แสดงความเห็นทางการเมืองอย่างมีความสุข ผมจะเขียนเรื่องสั้นที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง มาลงแทนการแสดงความเห็นปกติ สำหรับท่านที่รักชอบการอ่าน ยังไงก็ฝากติดตาม และขอคำแนะนำติชมด้วยนะครับ ผมจะลงเรื่องที่ผมเขียนไว้ในทั้งสองห้อง คือราชดำเนิน และถนนนักเขียน ใครอยากจะแนะนำติชมอะไร ก็สามารถไปคอมเม้นท์ได้ที่ห้องโน้นครับ

ตาม Link นี้ (จิ้มเลยจ้า มีคำแนะนำติชมอะไรบอกได้เลยจ้า ยินดีรับฟังเสมอ)

 

 

 

แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 54 01:35:12

แก้ไขเมื่อ 12 ก.พ. 54 01:33:34

จากคุณ : พระรองตลอดกาล
เขียนเมื่อ : 12 ก.พ. 54 01:32:12 A:183.89.31.5 X:



ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com