________________________________________________________________________________________________________________________________

คนอะไรเกิดมาเอาแต่ได้ (มีที่ไหนถนนสาธารณะหน้าบ้านกลายเป็นถนนส่วนตัวยังไม่รู้สึกรู้สา โยนไปว่านั่นคือมาตรการเพื่อความปลอดภัย โถ... น่าสมเพช)
เมื่อความจริงเรื่องนั้นทำให้เขาได้ เขาจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า "ผมสัญชาติไทย"
เมื่อความจริงเรื่องนั้นทำให้เขาได้ เขาจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า "ผมไม่ได้มีสัญชาติมอนเตเนโกร"
แต่...
ถ้าความจริงเรื่องนั้นจะทำให้เขาเสีย เขาก็จะพูดจาวกวนอ้อมค้อมแปดวาสิบศอก พูดเอาดีใส่ตัวหน้าตาเฉย(ด้าน)
มีคนพูดว่า "เขาควรแสดงความชัดเจนในเรื่องสัญชาติ ในฐานะเป็นผู้นำและในแง่ของความรักชาติ"
เขาบอกว่า
"เรื่องรักชาติให้ดูที่พฤติกรรมดีกว่า(พฤติกรรมรักชาติของเขาคือหนีทหาร
) ประการต่อมาเรื่องนี้คือข้อกฎหมายมันยังไม่ชัด มีนักกฎหมายจำนวนมากยืนยันว่าการที่ตนแสดงเจตนาชัดในการถือสัญชาติไทย ถือเป็นการสละสัญชาติอังกฤษไปโดยปริยาย ถ้าตนอยากไปใช้สัญชาติอังกฤษ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตนดำเนินการตามกฎหมายไทย ถ้าต้องไปดำเนินการตามกฎหมายอังกฤษด้วย ก็คงมีปัญหามากมายว่า กลายเป็นเกิดคำถามว่าสรุปแล้วตนมีหน้าที่ที่ต้องทำตามกฎหมายอังกฤษด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ยังมองไม่ตรงกัน ที่ผ่านมาตนก็ถามความเห็นนักกฎหมาย และชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาเลยที่จะไปถือสัญชาติอังกฤษ แม้ว่าจะเกิดที่นั่น ไม่มีการใช้สิทธิในฐานะพลเมืองอังกฤษ ทั้งการศึกษาก็ดี การเดินทาง มันก็ชัดในตัวของมันเองอยู่แล้วว่าเจตนามันคืออะไร"
(เขาใช้ชุดวาทกรรมเรื่อง "ข้อกฎหมายไม่ชัด" (ก็น่าแปลกใจว่ากฎหมาย "ไม่ชัด" ตรงไหน พรบ.สัญชาติ 1948 บัญญัติไว้ชัดเจนขนาดนั้น) และ "เจตนา" (พูดวกวนจนคนฟังเคลิ้มปนมึน) ซึ่งหากเขามีเจตนาที่จะใช้สัญชาติไทยสัญชาติเดียวจริง เขาก็ทำเรื่องสละไปนานแล้ว ก่อนที่จะเข้าสู่การเมือง ไม่จำเป็นต้องมาอ้างเรื่อง "เจตนา" แต่ไม่ยอมสละ ไม่ต้องอ้างข้อกฎหมายว่าคลุมเครือ)
เมื่อถามว่า "ถึงขณะนี้จะดำเนินการสละสัญชาติอังกฤษหรือไม่"
เขาตอบว่า
"ถ้าสละตอนนี้ เขาก็จะว่าอีกว่า ตนหนีศาลโลก ไม่แน่ใจว่าต้องทำหรือไม่ เพราะกฎหมายไทยก็ไม่ชัด ตนถือตามกฎหมายไทย เวลาที่นักกฎหมายตอบก็ตอบไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่องของเจตนาว่าจะเก็บหรือไม่เก็บไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ถามว่าต้องมานั่งดูกฎหมายอังกฤษรึเปล่า ว่าต้องยื่นแบบเสียภาษี เกณฑ์ทหารอังกฤษ"
(เขาบอกว่าไม่แน่ใจว่าเขามีสัญชาติอังกฤษหรือไม่ แต่เขาก็ตอบว่าถ้าสละตอนนี้อาจจะโดนกล่าวหาได้ (ตลกด้าน เอาเรื่องไม่แน่ใจโยงกับเรื่องสละแล้วโดนกล่าวหามาพันกัน ทั้ง ๆ ที่หากไม่แน่ใจ และมั่นใจในเจตนาว่ามีสัญชาติไทย จะอ้างเรื่องสละแล้วโดนกล่าวหาทำไม) อ้างเรื่องภาษี อ้างเรื่องเกณฑ์ทหาร ซึ่งตรงนี้มันอ้างแบบ "โกหก" เพราะกฎหมายภาษีและการเกณฑ์ทหารนั้นมีบทบัญญัติชัดเจนไว้แล้วว่าใครทำอะไรที่ไหนต้องทำอย่างไร (อ้างแบบนี้ คนสองสัญชาติในโลกคงไม่มี เพราะต้องจ่ายภาษีสองประเทศ เกณฑ์ทหารสองประเทศ เรียกว่าอ้างแบบทำมึน)
เมื่อถามอีกว่า "ยังจะคงสถานะ 2 สัญชาติเช่นนี้อีกต่อไป"
เขาตอบหน้าตาเฉยว่า
"ไม่ทราบว่าตนมี 2 สัญชาติหรือไม่ ประเด็นนี้เป็นเรื่องของนักกฎหมาย ตนพยายามตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า แม้กระทั่งนักกฎหมายยังให้ความเห็นไม่ตรงกัน เนื่องจากเป็นกฎหมายของแต่ละประเทศ และโดยปกติมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าใครทำตัวเป็นสัญชาติอะไร ผมคงไปเปลี่ยนที่เกิดไม่ได้"
(ยกเรื่องที่เกิดมาอ้างเพื่อเบี่ยงประเด็นที่ทำไขสือว่าไม่ทราบมี 2 สัญชาติหรือไม่ (อะไรว่ะ พูดเรื่องสละแล้วจะโดนกล่าวหาอยู่แหม็บ ๆ มาตอนนี้บอกว่าไม่ทราบ ไม่ทราบแล้วจะทำเรื่องสละหาศิริโชคทำไมฟร่ะ) อ้างเรื่องความชัดเจนว่าตนทำตัวเป็นสัญชาติอะไร แต่ขณะเดียวกันก็บอกว่ากฎหมายไม่ชัดเจน เอากะเขาสิ ฟังแล้วมึนว่าเอ็งจะเอาไงแน่ฟร่ะ ชัดเจนหรือไม่ชัดเจน)
เมื่อถามถึงความชัดเจนอีกครั้งว่า "มีแนวทางการดำเนินการให้ชัดเจนหรือไม่ เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่ 2"
เขาตอบแบบคนถามถามไม่ตรงคำตอบ
ว่า
"ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายไทยเลย และคุณสมบัติก็ครบถ้วน และท้าว่าแม้แต่คนที่ตรวจสอบหรือจ้างคนมาตรวจสอบนั้นรักชาติจริงหรือไม่ ตนไม่ได้มีปัญหาเรื่องนี้ ส่วนที่ว่าตนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอังกฤษหรือไม่ ก็อยากจะได้คำตอบที่เหมือนกัน ซึ่งยังไม่มี"
(ถามหาความชัดเจน เขาอ้างกฎหมายไทย (ก็ใครว่าคุณทำผิดกฎหมายไทยล่ะครับ ใครว่าคุณขาดคุณสมบัติ (แต่คุณไร้จริยธรรม ไร้ความชอบธรรม ผิดกฎเด็ก 9 ข้อของคุณเอง) เขาถามหาความชัดเจนเรื่องสัญชาติ ซึ่งถึงคุณมีสองสัญชาติแต่เมื่อคุณอยู่ในประเทศไทยคุณก็ต้องทำตามกฎหมายไทยอยู่แล้ว ไม่ใช่คุณต้องทำตามกฎหมายอังกฤษ) เขาอ้างไม่ได้มีปัญหาตามกฎหมายไทย (เอาดีใส่ตัวถามถนัด มีช่องนิดไม่ได้) แล้วอ้างเรื่องกฎหมายอังกฤษ เขาบอกว่าอยากได้คำตอบซึ่งยังไม่มี แล้วมันจะมีได้ไงถ้าไม่ทำให้ชัดเจน ถามม้าตอบวัวอยู่นี่ พูดจาวกวนคลุมเครือแปดวาสิบศอกอยู่นี่ อยากได้ความชัดเจนก็ถามอังกฤษ ไม่ต้องไปถามนักกฎหมายกฎแมวที่ไหนให้มากเรื่อง)
นี่คือภาพอันฉายชัดของ "จ้าวแห่งวาทกรรม" พูดได้ทุกเรื่อง แต่ทำไม่ได้สักเรื่อง
ตาใสใขสือ อะไรที่ได้ จะตอบตรงชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ แต่อะไรที่เสีย ก็ตอบแบบคนชอบเคลิ้มคนชังมึนคนถามงง ไม่ได้และไม่มีความจริง

***********************************************************
มันเป็นหลักธรรมชาติ เมื่อคนอยู่ร่วมกันจำนวนมาก ก็ย่อมมีปัญหา การระงับเหตุแห่งปัญหาก็คือต้องมี "คนกลาง" เข้ามาตัดสินไกล่เกลี่ย
"คนกลาง" นั้น อาจเป็นผู้อาวุโสในสังคมนั้น เป็นผู้มีอิทธิพลในสังคมนั้น เป็นผู้ที่คนในสังคมให้การยอมรับ
การตัดสินปัญหาต้องกระทำด้วยความเป็นธรรม ยุติธรรม เพราะหากไม่ยุติธรรมปัญหาก็จะไม่ระงับ อาจจบปัญหาหนึ่งแต่ปัญหาหนึ่งก็จะเกิดขึ้นมาแทน เรียกว่าความขัดแย้งไม่สิ้นสุด
ทีนี้ จงมองเข้าไปให้เห็นเนื้อ อย่ามองแค่เปลือกแล้วเถือกคำถากถาง ที่อาจเรียกได้ว่า "สำรอก" ออกมา
เปลือกที่มองเห็นนั้น มองแค่ว่า ความเป็นธรรมมันไม่มีในโลก จะโวยวายทำไมนักหนา ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องคนละทีป
เรื่องความเป็นธรรมไม่เป็นธรรมในโลกในชีวิต มันเป็นกฎธรรมชาติที่มนุษย์เรียนรู้และเข้าใจมาเป็นหมื่น ๆ ปี ไม่งั้นคงไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน้อง ไม่มีชนชั้นวรรณะ ไม่มีทาส ไม่มีคนรวย ไม่มีคนจน ไม่มีคนมากโอกาส ไม่มีคนด้อยโอกาส ฯลฯ (อันนี้อย่าไปมองแค่เรื่องขี้เกียจหรือขยันแล้วสรุปง่าว ๆ อีกล่ะ แต่ต้องมองให้เห็นถึง "โครงสร้าง" ของสังคมด้วย เข้าใจไหมคุณทึ่ม)
แต่เนื้อในของประเทศไทยที่มันกำลังเป็นปัญหาอยู่ตอนนี้ ก็คือ "คนกลาง" ที่ทำหน้าที่ระงับข้อพิพาท(พร้อมกับต้องสร้างและแบ่งปันความเป็นธรรม) ทำหน้าที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกต้อง มันจึงกลายเป็นว่าแทนที่จะสร้างความยุติธรรมก็เลยกลับกลายเป็นสร้างความอยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
เมื่อสังคมเกิดความอยุติธรรม สิ่งที่ตามมาก็คือความคับแค้น เกลียดชัง แตกแยก ขัดแย้ง
แล้วความสามัคคีในสังคมมันจะมาจากไหน ?
ความสามัคคีในประเทศมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
(อย่าสะแหลนถามย้อนมาอีกล่ะว่า ความยุติธรรมต้องยังงี้ยังงั้นเหรอ เพราะเรื่อง "ความอยุติธรรม" ที่มันเกิดขึ้นนั้น ถกกันจนเซ็งมาสามสี่ปีแล้ว ดูกรณีตัวอย่างเรื่อง sms ก็แล้วกันนะ ว่า ปปช. สืบ สอบ และชี้มูลว่าไม่ผิดอย่างไร มีขั้นตอนแบบไหน ความเห็นอย่างไร)
เมื่อยบ่ะ โพสต์ไปก็เปล่าประโยชน์
จบดีกั่ว
