________________________________________________________________________________________________________________________________

"กาลาเมาสูตรฉบับหล่อขวัญ"
1. อย่าไปเที่ยวว่าคนอื่นสรรค์วาทกรรมเพื่อสร้างความแตกแยกเลย ในเมื่อตัวเราเองยังไม่เข้าใจเนื้อหา ไม่เข้าใจชนิดที่ว่ายังไม่ถึงขั้น "รู้จัก" แบบไม่ต้องเอ่ยถึงขั้น "รู้จริง" และ "รู้แจ้ง" ด้วยซ้ำไป
หากเราโดนถามว่า "สร้างความแตกแยกอย่างไร กับใคร ใครแตกแยกกับใคร" เราจะสามารถอธิบายได้ไหม ?
ลองถามตัวตนดูสิว่า ความแตกแยกที่ตนมองเห็นนั้น มันมาจากความไม่ถูกใจตนใช่ไหม ?
พิจารณาตนก่อนเถิด ก่อนที่จะตัดสินคนอื่น
เดี๋ยวมันจะเป็นอย่างที่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนไว้ว่า
"คนชั้นกลางที่ไหน ๆ มันมักจะน่ารังเกียจทั้งนั้น โดยเฉพาะคนชั้นกลางไทย เพราะแ...ไม่อ่านหนังสือด้วย ไม่สนใจห่าเหวอะไรทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้นมันจะเป็นพวกแบบนี้ พวกดัดจริต เห็นแก่ตัว ไม่เข้าใจห่าอะไร แล้วนึกว่าตัวเองเก่ง เที่ยวตัดสินนู่นตัดสินนี่อยู่ตลอดเวลา" (จาก http://arayachon.org/article/20090510/1297 )
2. อย่ากล่าวหาว่าคนอื่นเขาสับสนในเรื่องประชาธิปไตยเลย ในเมื่อตัวเราเองยังแยกแยะเรื่องการช่วยเหลือน้ำท่วมกับเรื่องการกระจายอำนาจไม่ได้
แยกแยะเรื่องสามัญอย่างนี้ยังไม่ได้ แล้วตัวเราจะบอกว่าคนอื่นสับสนในประชาธิปไตยได้อย่างไร เพราะมันจะมีคำถามขึ้นมาว่า แล้วตัวเราล่ะสับสนไหม ตัวเราเข้าใจประชาธิปไตยถูกต้องไหมในเมื่อแยกแยะเรื่องสามัญยังไม่ได้
พินิจเพ่งตัวตนให้ถ่องก่อนเถิด ก่อนที่จะชี้นิ้วไปที่คนอื่น
3. อย่าเอาแต่ถากถางว่าพรรคการเมืองคนอื่นไม่มีน้ำยา หาหัวไม่ได้เลย เพราะพรรคการเมืองที่เราเชียร์นั้น โดนจดหมายลาออกของสมาชิกพรรคเข้าไปก็ได้แต่เงียบงุบ มีเพียงโฆษกเทพออกมาบอกว่า แค่สมาชิกธรรมดาเท่านั้น
มันก็พิลึกดี เหตุผลในการลาออก 5 ข้อคือสาระสำคัญ คือประเด็น แต่กลับไม่ตอบไม่ชี้แจง ก็คงเพราะมันจุกอก เถียงไม่ออกบอกไม่ถูก เลยต้องใช้วิธีถนัดคือทำลายความน่าเชื่อถือไว้ก่อนด้วยวาทกรรมคำว่า สมาชิกธรรมดา (พรรคการเมืองพรรคนี้เก่งในการเล่นกระแส เรื่องใดตอบได้และได้เปรียบ จะตอบโต้เป็นชุด ๆ ฉอด ๆ ๆ ๆ ตั้งแต่ท้ายแถวยันหัวแถว แต่ถ้าเรื่องใดตอบไม่ได้เถียงไม่ออก มีทีท่าว่าเสียเปรียบ จะทำลืม ไม่พูด ไม่ต่อปากต่อคำตามถนัด ถือหลักไม่พูดให้เรื่องมันเงียบไป รอจังหวะหาประเด็นอื่น ๆ มากลบ)
เหตุผล 5 ข้อมีอะไรบ้าง ขอเอามาให้ดูพอสังเขปอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
(1.) พรรคประชาธิปัตย์จะไม่มีวันชนะใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ เพราะขาดความจริงใจมุ่งแต่สร้างภาพจอมปลอม ประโยคนี้เป็นสัจธรรมเสมอ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์และน่าจะเป็นจริงตลอดไปด้วย ตราบใดที่จะยังคงมีพรรคนี้อยู่ในเวทีการเมืองไทย เพราะประวัติศาสตร์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์มักจะได้อำนาจรัฐหรือได้เป็นรัฐบาลโดยการเพลี่ยงพล้ำของพรรคขั้วตรงข้าม และมีพลังอำนาจพิเศษที่มาหนุนอยู่ตลอด .....
(2.) การมุ่งเล่นแต่การเมือง ทำให้บรรดานโยบายของพรรคที่ออกมา ขาดพื้นฐานด้านข้อมูลที่เป็นจริง ขาดการศึกษาและวิเคาระห์ถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง ซึ่งความจริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่แก่ที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีนโยบายเป็นของตัวเองมาก่อน บรรดานโยบายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคัดลอกและดัดแปลงมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในอดีตทั้งสิ้น .....
(3.) บริหารไร้ประสิทธิภาพแต่โกงเป็นมาตรฐาน ด้วยนโยบายหว่านผลประโยชน์กับการสร้างภาพของรัฐบาลชุดนี้ ทำให้รัฐต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นมากมาย จะเห็นได้ว่ามีการกู้เงินมหาศาลกว่ารัฐบาลใดในอดีตเสียอีก แต่ลำพังการกู้นั้นมิสามารถทำให้รัฐบาลดำเนินนโยบายไร้ประสิทธิภาพเหล่านั้นต่อไปได้มากนัก .....
(4.) ไม่สร้างความปรองดองกลับสร้างความแตกแยก ก็ต้องยอมรับว่าในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาบริหารประเทศนั้น สังคมไทยอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งอย่างหนัก รัฐบาลประชาธิปัตย์เข้ามาพร้อมกับการต่อต้านของขั้วตรงข้ามในนามกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเริ่มก่อรูปมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงนั้นต้องการล้มล้างรัฐบาลประชาธิปัตย์และคืนอำนาจแก่อีกขั้วการเมืองเป็นหลัก .....
(5.) สิ่งที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์เขาพระวิหารแสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้อย่างชัดเจน เพราะสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์ได้เคยอภิปรายโจมตีในการยื่นยัตติไม่ไว้วางใจนายนพดล ปัทมะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชเกี่ยวกับบูรณภาพเหนือดินแดนรอบตัวปราสาทเขาพระวิหาร กลับกลายเป็นสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ดำเนินการเหมือนกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนและตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในสภาอย่างสิ้นเชิง .....
ยิ่งถ้าได้อ่านรายละเอียดในแต่ละข้อ ยิ่งได้แต่กลอกหน้า http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301372216&grpid=&catid=02&subcatid=0207
4. อย่าเที่ยวแต่ท้าคนอื่นเขาพูดอยู่เลย พูดมามากแล้ว พูดจนจำไม่ได้ วันนี้พูดอย่างนี้วันหน้าพูดอย่างนั้น วันนั้นพูดอย่างโน้นวันนี้พูดอย่างนู้นนนนนนนนนน...... จนประชาชนจะจำชื่อไม่ได้อยู่แล้วเพราะเขาจำได้แต่คำว่า "ดีแต่พูด"
บริหารงานให้มันเข้าตาได้ใจประชาชนสักเรื่องบ้างเถิดพ่อคุณ เห็นแต่ไม่ได้เรื่องไปซะทุกเรื่อง เช่น
ให้ข้าราชการคนนั้นเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ได้เพราะพัวพันกับเรื่องทุจริตคอมพิวเตอร์ ขึ้นปลัดไม่ได้ก็กลับไปเป็นอธิบดีกรมการปกครองอย่างเดิม มันก็พิลึกดีนะ ถ้าพัวพันจนเป็นปลัดไม่ได้ แล้วทำไมถึงเป็นอธิบดีอยู่ได้ และวันนี้ก็ตามมาด้วยการมีอธิบดี 2 คนในกรมการปกครอง บริหารแบบพิลึก ๆ แบบนี้หาได้อีกที่ไหน (ปากพูดว่าต้องคืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองให้เขา แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่วี่แววได้คืน เพราะมีการหาช่องเล่นเชิงชิงเหลี่ยมกันอยู่ นี่เขาเรียกว่าบริหารแบบไม่บริหาร บริหารด้วยปาก คิดว่าการพูดคือการทำงาน พูดแล้ว แล้วไป จะมีผลอะไรตามมาเป็นเนื้อเป็นน้ำหรือไม่ ไม่รับรู้)
ปวดตับจริง ๆ
เมื่อย
พอ
คุณ P2wichai ครับ ขออภัยด้วยครับเรื่องหลังไมค์ มันเต็มครับ ผมเพิ่งลบออกไปตะกี้นิดหนึ่ง เพราะกว่าจะลบได้แต่ละอันนานมาก ๆ
วัยรุ่นอย่างผมรอมะหวาย
ทีนี้ มาเรื่อง "คนดี"
ที่คุณถามผมว่าคนดีในมุมมองของผมนั้นเป็นอย่างไร ใช้อะไรเป็นเครื่องวัด
ขอตอบดังนี้ครับ
"คนดี" ในมุมมองและเครื่องวัดของผม ผมยึดในหลัก 3 ประการครับ
1. หลักตามอย่างที่ขงจื๊อบอกไว้ว่า "คนดีหรือคนเลว มิได้ดีหรือเลวในตัวเอง จนกว่าเขาจะทำให้สังคมดีขึ้นหรือเลวลงเท่านั้น คนดีหรือเลวโดยปราศจากความผูกพันกับสภาวะสังคมไม่เคยมี"
(คุณ P2wichai พิจารณาดูนะครับ บ้านเมืองเรามันอลเวงอยู่ตอนนี้ เพราะ "คนดี" ที่เรายกย่องชูหางกัน หรือเพราะ "คนเลว" ที่เรารุมประนามกันแน่)
2. ผมถือหลัก NOBODY IS PERFECT
คนบางคนอาจเหมาะกับเรื่องหนึ่ง แต่ไม่เหมาะกับเรื่องหนึ่ง
คนบางคนอาจเหมาะกับสถานการณ์หนึ่งแต่ไม่ไหวกับสถานการณ์หนึ่ง
มันจึงตามมาด้วยหลักข้อ 3 ครับ คือ
3. PUT THE RIGHT MAN ON THE RIGHT JOB อย่างเอานักโต้วาทีดีแต่พูดมาบริหารบ้านเมืองนี่ เละครับ
ข้อ 2 และ ข้อ 3 นี้จะผูกโยงไปยังข้อ 1 นั่นก็คือผลกระทบต่อสังคม
นี่คือ "คนดี" ในมุมมองและเครื่องวัดของผมครับ
ท่านพุทธทาส ท่านสอนไว้ว่า
"เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง"
..........................................................
สุดท้าย ในหัวกระทู้ที่ผมบอกว่าคุณอาจกำลังหลง "ติดดี" นั้น อย่าเข้าใจว่าผมตำหนิคุณนะครับ
คำว่า "ติดดี" มันคือคำพระท่านสอนไว้ สอนคนที่เชื่อตนจนเลยเถิดเป็นทรนง มีความเชื่อในตนจนขาดปัญญา ซึ่งภาษาพระเรียกว่า ศรัทธาเหนือปัญญา เหนือปัญญาจนเชื่ออะไรไปแบบผิด ๆ
โปรดอ่านคอลัมน์นี้เพื่ออุปมาอุปไมยดูได้ครับ http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dOakkwTURNMU5BPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdNeTB5TkE9PQ==
ขอบคุณครับ

แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 54 12:31:59