จากสัญญาณต่างๆ จากรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่ประกาศว่าจะมีการยุบสภาแน่นอนในเดือนพฤษภาคม ทำให้พรรคการเมือง และผู้สมัครสส. หน้าใหม่ๆ เคลื่อนไหว และเป็นการเคลื่อนไหวที่หวังผลด้วย ว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้นแน่นอน และจะเป็นส่วนหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าตัวเอง จะเป็นเพียง " ตัวหลอก " ก็ตาม

พรรคการเมืองที่มีหลากหลายพรรคยิ่งทำให้ " การแทรกแซงทางการเมือง " เกิดขึ้นได้โดยง่าย ทุน จะทำการจัดการล๊อปบี้ กลุ่มพรรคการเมืองต่างๆ ให้มาจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้านก็ได้ ไม่มีการคานอำนาจใดๆอีกต่อไป ซึ่งแม้แท้จริงแล้ว พรรคเพื่อไทย ก็เป็นฝ่ายค้านที่อยู่ในสภาพนี้อยู่เช่นกัน

อยากจะท้าวความถึง กฎการปฎิวัติ อีกสักครั้ง เพื่อความเข้าใจในการอ่านบทความนี้

กฎการปฎิวัติ กองทัพ จะต้องยึดและควบคุมอำนาจทั้ง 3 ส่วนนี้ให้ได้

1. อำนาจบริหาร ( นายกรัฐมนตรี , คณะรัฐมนตรี และคณะอื่นๆ หากมี )

2. อำนาจนิติบัญญัติ ( สว. และสส. )

3. อำนาจตุลาการ ( ศาล ทั้งหมด )

การปฎิวัติครั้งนึง อำนาจเหล่านี้จะถูกควบคุมไว้ทั้งหมด ดั่งความหมายของมัน คำว่า ปฎิวัติ แปลว่า การเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหนังมือ หมายถึง เปลี่ยนผู้บริหารจัดการของรัฐบาลชุดก่อนทั้งหมดนั่นเอง

เราจะเห็นได้ว่า ในข้อ 2 อำนาจนิติบัญญัติ ก็ต้องถูกยึดและถูกควบคุมไว้ด้วย เปรียบเทียบอย่างนี้ครับ ว่า ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคนอมินีของกองทัพ กับพรรคเพื่อไทย ก็ถูกควบคุมไว้แล้วอย่างสิ้นเชิง หมายถึงพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย นั้นหมดสิทธิ์ ที่จะเรียกร้องสิทธิ์ใดๆจากรัฐบาลตัวแทนของกองทัพได้อย่างสิ้นเชิง อาจเห็นได้ว่า มีนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลบางคนสามารถจัดตั้งพรรคการเมืองขนาดกลาง ที่แยกตัวออกมาจากพรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างพรรคไทยรักไทย หลังการปฎิวัติ นั่นคือ กลุ่มเพื่อนเนวิน ที่มีฐานเสียงที่มั่นคงและแน่นอน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมของกองทัพ ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของการปฎิวัติ หากแต่คนเสื้อแดงไม่ได้เข้าใจอย่างนี้

กลุ่มคนเสื้อแดงมีการปลุกระดมให้ตื่นตระหนก ว่าจะเกิดการปฎิวัติขึ้นหลังการยุบสภา หรือเมื่อไหร่ก็ตาม นั้น เป็นเพียงการปลุกปั่นม๊อปให้รู้สึกเร้าร้อนกับการเมือง เพื่อมาก่อม๊อปกันได้บ่อยๆครั้งขึ้นเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน มันก็ยังไม่หยุดสร้างความกระทบกระเทือนต่อตลาดหุ้นด้วย ไม่ว่าจะ ตลาดหุ้นมันอ่อนไหวจนเป็นนิสัย หรือว่ามีคนจงใจปั่นให้มันอ่อนไหวก็ตาม แต่มันก็คือผลพวงจากการปลุกกระแสปฎิวัตินั่นเอง

กองทัพไม่จำเป็นต้องปฎิวัติ อะไรอีกแล้ว และไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารอีกต่อไป ถึงวันนี้ อำนาจทุน ที่อยู่เบื่องหลังกองทัพ และการเมืองทุกๆมิติ มาอย่างช้านานนั้น ได้ถืออำนาจทุกอย่างอยู่ในมือแล้ว ไม่จำเป็นต้องกองทัพ ต้องออกมาหน้าฉากอย่างประเจิ่นประเจ่ออีกต่อไป ทุนผูกขาด ของประเทศไทย และทรงอิทธิพลระดับโลกนั้น มีเสถียรภาพทางการตลาด และมีความมั่นคงสูงสุด เพราะเขาไม่เพียงอยู่เบื่องหลังการเมืองไทย หากแต่เขายังได้รับการยอมรับและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างๆของประเทศมหาอำนาจด้วย เมื่อนี้ พรรคการเมืองพรรคเล็กพรรคน้อย ก็จะจัดตั้งรัฐบาล กันอย่างดูเหมือนจะเป็นปกติที่สุด โดยไร้ข้อกังขาใดๆ แต่กลุ่มคนเสื้อแดงก็ยังเข้าใจการเมืองผิดเหมือนเคย กลุ่มคนเสื้อแดงยังคงโทษฟ้าโทษดินต่อไป โดยไม่ยอมล่วงรู้ถึงอำนาจของ " ทุนนิยม "

ภาพของพรรคเพื่อไทย ที่มีอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยนั้น เป็นภาพที่ดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทย ยังทรงแสนยานุภาพอยู่ เพราะมี สส. ที่จะลงเลือกตั้ง ถึง 300 คน ซึ่งหากว่า ได้เสียงสัก สองร้อยกว่าเสียงขึ้นไป ก็มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จแน่นอน โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงที่มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ให้การสนับสนุนแน่นอน ภายใต้กฎหมายแบ่งเขตสูตรใหม่ ซึ่งเป็นสูตรที่เขาคำนวนมาแล้ว ว่ายังงงัยๆ รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็จะได้จัดตั้งรัฐบาลแน่นอน

เรามาดูผลการเลือกตั้ง ที่จะทำให้เสื้อแดงต้องพบกับทางตัน และมืดมนที่สุดเท่าที่เขาเคยเป็นเสื้อแดงมากันครับ และผลการเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้เขาเหล่านี้ มีความฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สภาพของกลุ่มก็จะเล็กลงเรื่อยๆเช่นกัน เพราะมันขาดความชัดเจนในทุกๆมิติ

ผลการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย จะแพ้พรรคขนาดกลาง ที่เป็นคู่แข่งใหม่ๆ หรือแพ้ให้กับ สส. แปรพักต์ต่างๆ อยู่ทั่วทุกท้องถิ่น ตัวเลข สส. ของพรรคเพื่อไทยที่จะได้ จะเป็นตัวเลข 2 หลัก ที่ดูไม่จืด และจะต้องกลายเป็นฝ่ายค้านต่อไป โดย ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทยพยายามทุกวิถีทาง ที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างพรรค ทั้งให้อดีต คมช. บางคนเข้าพรรคลงเลือกตั้ง เพื่อเป็นการเอาศรัตรูมาเป็นมิตร หรือถูกคณะปฎิรูปฯ เข้าแทรกแซงภายในทางตรงก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย มีแต่ทางแพ้เพียงเท่านั้น และนี่คือบทวิเคราะห์ เรื่องราวหลังเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว