พรรคประชาธิปัตย์เคยชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น แต่ครั้งอื่นๆ ไม่เคย
หลังการยึดอำจาจของคณะ รสช. เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 ได้มีการเลือกตั้งครั้งแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2534 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 เนื่องจากหัวหน้าพรรคสามัคคีธรรมซึ่งได้คะแนนเสียงอันดับ 1 ถูกขึ้นบัญชีดำของสหรัฐฯ พรรคการเมือง 5 พรรค คือ พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชากรไทย และพรรคราษฎร จึงได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลสนับสนุน พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาได้ถูกคัดค้านจากกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายกลุ่ม จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ในระหว่างวันที่ 17-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2535
การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 13 กันยายน 2535 พรรคประชาธิปัตย์ ชนะพรรคชาติไทยด้วยคะแนนเสียง 79 ต่อ 77 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และนายชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ภายหลังต้องยุบสภาด้วยพิษ สปก.4-01
การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 พรรคชาติไทย ประสบความสำเร็จ สามารถเอาชนะ พรรคประชาธิปัตย์ไปได้ ทำให้ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี แต่ภายหลังต้องยุบสภาด้วยถูกอภิปรายอย่างหนักเรื่องสัญชาติ
การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 พรรคความหวังใหม่ที่เพิ่งลงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกประสบความสำเร็จ สามารถเฉือนเอาชนะ พรรคประชาธิปัตย์ ไปได้ 2 เสียง ทำให้ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี แต่ด้วยผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นจนทำให้ พล.อ.ชวลิต ตัดสินใจลาออก พรรคร่วมรัฐบาลเดิมยังมีความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลในพรรคกลุ่มพรรคร่วมเดิมต่อไป แต่เกิดการพลิกผันทางการเมือง เมื่อพรรคกิจสังคมถอนตัวออกจากกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ประกอบกับเกิดกรณีกลุ่มงูเห่า ภายในพรรคประชากรไทย หันมาสนับสนุน นายชวน หลีกภัย ที่เป็นฝ่ายค้านในขณะนั้นจนได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง จนครบวาระ
การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 6 มกราคม 2544 นับเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งแบ่งเป็นระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และแบบแบ่งเขตเลือกตั้งอีก 400 คน ภายใต้การกำกับดูแลและจัดการเลือกตั้งของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผลการเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยได้ สส.แบบแบ่งเขต 200 เสียง แบบบัญชีรายชื่อ 48 เสียง รวม 248 เสียง ชนะพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้ สส.แบ่งเขต 97 เสียง แบบบัญชีรายชื่อ 31 เสียง รวม 128 เสียง พรรคไทยรักไทยจึงได้จัดตั้งรัฐบาล โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนครบวาระ
การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 โดยพรรคไทยรักไทยของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้สโลแกนหาเสียงว่า "4 ปีสร้าง 4 ปีซ่อม" ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ได้ 377 ที่นั่ง จากจำนวนทั้งหมด 500 ที่นั่ง ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ หาเสียงด้วยสโลแกน "ทวงคืนประเทศไทย" ได้ 96 ที่นั่ง ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 แต่กลับเจอมรสุมการเมืองจนต้องประกาศยุบสภาฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549
การเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 พรรคประชาธิปัตย์,ชาติไทย,มหาชน คว่ำบาตรการเลือกตั้ง โดยไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งลงแข่งขัน กกต.กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ใน 40 เขตในวันที่ 23 เมษายน 2549 เนื่องจากผู้สมัครรับเลือกตั้งได้คะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละ 20 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ จึงมีการกำหนดเลือกตั้งใหม่อีกครั้งใน 15 ตุลาคม 2549 แต่ไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากเกิดการรัฐประหารใน 19 กันยายน 2549 เสียก่อน
ภายหลังการยึดอำนาจโดย คปค.เมื่อ 19 กันยายน 2549 ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่กำหนดให้สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 400 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจำนวน 80 คน กำหนดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคมพ.ศ. 2550 ภายใต้การกำกับดูแลของ กกต. ผลการเลือกตั้ง พรรคพลังประชาชนได้ สส.แบบแบ่งเขต 199 เสียง แบบสัดส่วน 34 เสียง รวม 233 เสียง ชนะพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้ สส.แบ่งเขต 132 เสียง แบบสัดส่วน 33 เสียง รวม 165 เสียง พรรคพลังประชาชนจึงได้จัดตั้งรัฐบาล โดยนายสมัคร สุนทรเวช ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังถูกให้ออกจากตำแหน่งโดยคำสั่งศาล พรรคร่วมรัฐบาลได้สนับสนุนให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ
ต่อมาศาลสั่งยุบพรรคพลังประชาชน สส.พรรคพลังประชาชน ส่วนใหญ่ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย และเกิดกรณีงูเห่ารอบสอง เมื่อ สส.บางส่วยย้ายไปสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และพรรภูมิใจไทย แล้วจับมือกับพรรคเล็ก ๆ จัดตั้งรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ปลายปี 2551
จะเห็นว่าในการเลือกตั้งทั่วไป พรรคที่ได้ สส.มากที่สุด ถือเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ได้รับสิทธิ์ในการจัดตั้งรัฐบาล
ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล 3 รอบ แต่ชนะการเลือกตั้งเพียงรอบเดียวคือปี 2535 ส่วนอีก 2 รอบใช้เล่ห์กลทางการเมือง บวกกับกรณีงูเห่า และการพลิกขั้วทางการเมืองจนได้จัดตั้งรัฐบาล
จะว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะการเลือกตั้งก็ไม่ถูกต้องนัก แต่ที่ถูกต้องคือเคยชนะการเลือกตั้ง 1 ครั้ง นอกนั้นใช้เล่ห์กลทางการเมืองจนได้จัดตั้งรัฐบาล และผลการบริหารไม่เคยประสบผลสำเร็จ จะเห็นได้จากที่ประชาชนไม่ได้เลือกให้บริหารอีกในสมัยต่อมา
และจากประวัติศาสตร์สด ๆ ร้อน ๆ ที่ผ่านมา บวกกับฝีมือการบริหารที่ไม่เอาไหนของนายอภิสิทธิ์ พรรคประชาธิปัตย์จึงหนาว ๆ ร้อน ๆ ว่าประชาชนไม่เลือกตัวเองแน่ จึงต้องสร้างเล่ห์กลเอาเปรียบคู่แข่งก่อน ด้วยการสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มี สส.แบบสัดส่วนมากขึ้น การเสนอให้พรรคที่ได้ สส.แบบสัดส่วนมาเป็นอันดับหนึ่งได้จัดตั้งรัฐบาล และให้งบอุดหนุนข้าราชการ สส. และกลุ่มมวลชนเพื่อซื้อเสียงล่วงหน้า รวมทั้ง เตะตัดขาคู่แข่งด้วยการโหมกระแสหมิ่นสถาบัน และวาทะกรรมเผาบ้านเผาเมือง
แต่ดูเหมือนกระแสไม่เข้าข้างเอาเสียเลย สำรวจโพลกี่ครั้ง ปชป.ก็ไม่เคยถึง 200 เสียง ขณะที่ พท.พรรคน้องใหม่ พึ่งเกิดหลังยุบพรรคพลังประชาชน กลับมีหวังได้เกิน 200 เสียงแบบสบาย ๆ
พรรคประชาธิปัตย์เคยชนะการเลือกตั้งครั้งกระโน้นครั้งเดียว แต่ครั้งอื่นๆ ไม่เคย และครั้งนี้ด้วย เลยต้องโหมกระแสเตะตัดขาคู่แข่งมาก ๆ หน่อย เพราะนโยบายต่าง ๆ ไม่เคยทำได้จริง มีแต่โวหารเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
กองเชียร์ที่เพิ่มมา 5X จึงต้องทำงานหนักอย่างยิ่ง หึหึ
ทดลองใช้สิทธิ์ให้ครบ 5 กระทู้ บ้างครับ 