พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องสงคราม
|
 |
เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน จึงอยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงเสียก่อน แต่สงครามครั้งนี้ ผมมีความรู้สึกว่า จะมีความพยายามไม่ให้ยุติอย่างรวดเร็วเหมือนที่ผ่านมา ก็เหมือนดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศของเราพูดก็ได้นะครับที่ว่า ปัญหาเรื่องข้าวยากหมากแพง ทำให้เกิดสงครามเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาที่กำลังประสบกับประชาชนขณะนี้หรือไม่? ดังนั้นผมจึงคิดว่า คงถึงเวลาแล้วครับที่ผมจะขอแสดงความคิดเห็นบ้าง ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ไม่ใช่คนกัมพูชานะครับ
สงครามไม่เคยให้อะไรกับประเทศทั้งคู่หรอกครับ มีแต่ความสูญเสีย มีแต่ความเดือดร้อนของราษฎรที่อยู่ตามชายแดน มีแต่กระทบกับเศรษฐกิจ แล้วยังอยากมีสงครามไปเพื่ออะไรครับ เพราะแม้จะชนะแล้วเราได้อะไร ดังนั้นอย่าพึ่งไปสนใจเลยครับว่าใครเริ่มยิงก่อน ควรจะสนใจว่าใครจะยุติกันก่อนดีกว่าครับ จุดนี้ผมว่าเราควรจะเริ่มก่อนดีไหมครับ
แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องยอมรับกันก่อนนะครับว่า จุดเริ่มมาจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ และการอยากได้ดินแดนของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เคยแยแสถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องพังพินาศไป กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ กลายเป็นสงครามช่วงชิงดินแดนไปเสียฉิบ ทั้งๆที่เวลานี้ทั่วโลกเขาไม่ทำสงครามช่วงชิงดินแดนกันแล้ว เพราะมันเป็นการได้ที่ไม่คุ้มเสียหรอกครับ ประชาคมโลกก็ไม่ยอมรับด้วย อีกทั้งทางอาเชี่ยนก็พยายามจะยกระดับความเป็นประชาคมเดียวกัน อย่างนี้แล้วมันคุ้มกันหรือครับลองคิดดู
เมื่อเราได้รู้ถึงต้นตอของปัญหาอย่างนี้แล้ว ก็ควรหาทางขจัดต้นตอออกไปก่อน ไม่ใช่ปล่อยให้กลุ่มคลั่งชาติกลุ่มหนึ่งพยายามจี้ประเด็นความขัดแย้งที่ตกลงกันไม่ได้ แล้วก็ก่นด่าผู้นำของประเทศอื่นอยู่ทุกวัน อย่างนี้แล้วจะไปเจรจาทวิภาคีกับใครได้ล่ะครับ แล้วก็ไม่ควรให้คนที่เคยไปดูถูกเหยียดหยามผู้นำประเทศเขาไปเป็นผู้เจรจา พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราสิครับ ถ้าเป็นเราจะรู้สึกยังไง จะมองหน้าคนที่มาเจรจาด้วยความสนิทใจได้หรือไม่
อยากฝากบอกคุณอภิสิทธิ์ไว้ในที่นี้ด้วยว่า คุณอภิสิทธิ์กับคุณกษิตรวมทั้งกลุ่มคลั่งชาตินี้แหละครับเป็นตัวปัญหา ดังนั้น ถ้าคุณอภิสิทธิ์ชาญฉลาดพอ ควรจะให้คนที่ทางรัฐบาลกัมพูชามองหน้าได้อย่างสนิทใจเป็นผู้ไปเจรจาดีกว่าครับ พยายามพักเรื่องความขัดแย้ง หรือไม่ก็หาทางจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยหลักผลประโยชน์ร่วมกัน อย่างนั้นไม่ดีกว่าหรือครับ
จริงๆแล้ว ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมูลเหตุก็แค่การขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งความจริงเราก็ไม่ได้เสียผลประโยชน์อะไรเลย เพียงแต่ฝ่ายเรานำมาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการขับไล่รัฐบาลของคุณทักษิณ แต่นำมาซึ่งความเดือดร้อนให้กับราษฎรหลายหมื่นคนตามชายแดน ทั้งๆที่การขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารกลับเป็นผลดีต่อประเทศไทยด้วยซ้ำไป เพียงแค่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งสองประเทศก็ควรจะร่วมกันพัฒนาเขาพระวิหารร่วมกัน เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ประชาชนทั้งสองประเทศได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน การติดต่อการค้าของทั้งสองประเทศก็เป็นไปอย่างราบรื่น แล้วเราก็ได้เปรียบดุลการค้าหลายหมื่นล้านต่อปี อย่างนี้มีแต่ได้กับได้ ไม่ดีกว่าการเกิดสงครามที่มีแต่เสียกับเสีย เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ออก แล้วบอกมาได้ว่า ผมพร้อมจะเป็นนายกฯ ผมล่ะเซ็งจริงๆ
บางท่านอาจจะคิดว่า ผมคิดอะไรง่ายเกินไป แต่ความจริงไม่ใช่ง่ายอย่างที่คิด ผมเองก็คงไม่มีความสามารถที่จะไปเจรจาแทนได้ เพียงแค่อยากชี้เป็นแนวทางเท่านั้นเองครับ อย่าไปฟังคุณกษิตพูดเลยครับว่า ศักดิ์ศรีของประเทศไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะคุณกษิตคนนี้ไม่ใช่หรือครับที่ไปทำลายศักดิ์ศรีประเทศเขาก่อน ดังนั้นเรามาแขวนเรื่องศักดิ์ศรีก่อนดีไหมครับ แล้วพยายามผูกสัมพันธ์ระหว่างประเทศกันใหม่ อย่าไปคิดว่าเราเป็นประเทศใหญ่กว่าเลยครับ พยายามนำผลประโยชน์ของประเทศเป็นตัวตั้ง แต่ก็ต้องอยู่บนฐานของผลประโยชน์ที่ควรได้ทั้งเขาและเรา เมื่อนั้นแหละครับ สงครามก็จะไม่เกิด ความสงบสุขก็จะกลับคืนมา แล้วคุณอภิสิทธิ์จะได้กลับมาแก้ไขปัญหาปากท้องของชาวบ้านได้อย่างเต็มที่ นอกเสียจากว่า ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาข้าวยากหมากแพง เลยต้องให้การรบพุ่งมาเบี่ยงเบนความสนใจดังที่คุณกษิตได้เคยวิเคราะห์ก็บอกมา ผมจะได้ทำใจมองดูการรบพุ่งที่อาจพัฒนาเป็นสงครามเต็มรูปแบบ แล้วยังอาจกระทบความสัมพันธ์กับเวียดนามและลาวก็เป็นได้ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ผมก็ได้แต่ อาเมนแอนด์สาธุกับคุณอภิสิทธิ์คนนี้คนเดียวครับ
สุดท้ายก็ยังคงอยากเน้นย้ำอีกครั้งว่า ผมเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นคนไทยที่กำลังเรียกร้องความเป็นธรรม ดังนั้นบทความนี้จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม ไม่ใช่คิดแต่เรื่องของความคลั่งชาติ จนลืมถึงความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นของสังคมไทยหรือสังคมเพื่อนบ้าน ดังนั้นเมื่อการเจรจาทวิภาคีไม่ได้ผล แล้วเราจะปล่อยให้มันคาราคาซังอยู่อย่างนี้คงไม่ได้ มิฉะนั้นก็จะเกิดการรบพุ่งกันอีกในอนาคตข้างหน้า แม้ว่าวันนี้เราอาจสามารถหยุดการสู้รบได้ ผมจึงอยากบอกว่า ในเมื่อเรามั่นใจการปฏิบัติทุกอย่างถูกต้องแล้ว เราปฏิบัติตามระเบียบของสากล และเรามั่นใจในข้อมูลหลักฐานที่เรามีอยู่ดังที่รัฐบาลบอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าเราไม่ได้เสียเปรียบ แล้วทำไมจึงไม่ยอมให้คนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทล่ะครับ ปัญหาจะได้จบกันไปเสียที นอกเสียจากข้อมูลที่รัฐบาลปล่อยออกมาไม่ได้เป็นความจริงทั้งหมด จึงกลัวการมีคนกลางเข้ามาล่วงรู้ความลับ? ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ทำตามพันธมิตรฯเถอะครับ กองทัพก็พร้อมที่จะแสดงแสนยานุภาพในเวลาแค่ไม่เกิน 30 นาที พิสูจน์ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย ขอกระชับพื้นที่ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ประกาศให้ชาวโลกรับรู้ถึงแสนยานุภาพของกองทัพไทยว่าไม่เป็นรองใครในภูมิภาคนี้ ใครก็อย่ามาแหยม อีกทั้งราษฎรตามชายแดนก็ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวา และคอยว่าเมื่อไหร่จะเกิดการยิงกันอีก เพื่อจะได้อพยพได้ทัน อย่างนี้จะดีกว่าอย่างแรกหรือไม่ คุณอภิสิทธิลองคิดดูนะครับ
จากคุณ |
:
ทวดเอง
|
เขียนเมื่อ |
:
28 เม.ย. 54 09:48:41
A:14.207.210.178 X:
|
|
|
|